บุคคลที่น่ารังเกียจที่สุด ในอเมริกา

บุคคลที่น่ารังเกียจที่สุด ในอเมริกา

หลายเดือนก่อน ผมเขียนถึงทันตแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งเดินทางเข้าไปไล่ล่า เซซิ่ล สิงโตระดับดารา ซึ่งเป็นที่รักของชาวซิมบับเว

แล้วก็ตัดศีรษะของเซซิ่ลออกจากร่าง ทำให้เกิดความโกรธแค้นไปทั่วทั้งในซิมบับเว และอเมริกา ต่อมาทันตแพทย์คนนั้น ก็ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าเป็น “บุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดในอเมริกา” (The Most Hated Man in America) 


วันนี้ มีเด็กหนุ่ม อายุ 32 ปี ชื่อว่า มาร์ติน สเกรลี่ ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง“บุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดในอเมริกา " คนใหม่แล้วครับ

เมื่อสองเดือนก่อนนี้เอง บริษัทตูริ่ง ฟาร์มาซูติคอลส์ ซึ่งสเกรลี่ เป็นเจ้าของ ได้สร้างความสั่นสะเทือนในวงการยา ด้วยการเข้าซื้อสิทธิยาตัวหนึ่งชื่อว่า “ดาราพิม” (Darapim) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ (Toxoplasmosis) ของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อย่างเช่นผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือ โรคมะเร็ง แล้วเขาก็ประกาศขึ้นราคายาตัวนี้ทันที จากเม็ดละ $13.50 เป็นเม็ดละ $750!!

เท่ากับว่าเพิ่มราคายาขึ้นในครั้งเดียว และในช่วงเพียงข้ามคืนเดียว เกินกว่า 5,000% ผมไม่ได้พิมพ์ตัวเลขผิดครับ ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ และหลังจากนั้น สเกรลี่ ก็เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศและได้รับการยกย่องให้เป็น “บุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดในอเมริกา” ในบัดดล......

ก็อะไรจะขนาดนั้นเล่าครับ ไม่ว่าใครก็ต้องตั้งคำถามว่า “เอ็งคิดแบบนี้ได้ยังไง (วะ)” และคนที่ถามดังๆคนหนึ่งนั้น ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นผู้หญิงชื่อว่า ฮิลลารี่ คลินตัน ซึ่งกำลังสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ในขณะนี้ เธอบอกว่าทำแบบนี้ มัน “บ้าระห่ำ (Outrageous)” สิ้นดี ผู้สมัครคนอื่นๆ อย่างเช่น โดนัล ทรัมพ์ ก็รุมประณามไอ้หนุ่มสเกรลี่ อย่างไม่ยั้งเช่นกัน รวมทั้ง บุคลากรในวงการแพทย์ ที่ทยอยกันออกมาต่อต้านเขาอย่างต่อเนื่อง

โลกออนไลน์ กระหน่ำหนัก เรียกเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนานา เช่น ไอ้ตะกละตะกลาม ไอ้สัญลักษณ์แห่งความเลวร้ายของทุนนิยม เลยไปจนถึง......อีแร้ง

แต่สเกรลี่ ก็มิได้ยอมรับผิดใดๆ เขาบอกว่าเขาเพียงพยายามที่จะ ทำให้บริษัทตูริ่ง มีกำไรเท่านั้นเอง เพราะว่าถ้าขายยาเม็ดละ $13.50 เท่าเดิม ก็ขาดทุนแน่นอน และบริษัทก็จะอยู่ไม่ได้ นอกจากนั้น เขาบอกว่ายาตัวนี้อยู่มานานถึง 62 ปีแล้ว ผู้ป่วยควรจะมีโอกาสได้รับยาตัวใหม่ที่พัฒนาดีขึ้นกว่านี้ เขานี่แหละจะนำกำไรที่ได้จากการขึ้นราคายาครั้งนี้ มาใช้ในการลงทุนวิจัยและพัฒนา เพื่อสังคมจะได้มียาตัวใหม่ที่ดีกว่านี้ มาใช้ในอนาคต

จะพูดอย่างไร ก็ฟังไม่ขึ้นและแรงกระหน่ำ ก็มิได้ลดลงเลย แม้จะบอกว่าเขาไม่ได้เหี้ยมโหดอย่างที่คนทั่วไปคิด เพราะว่าเขาได้จัดสรรยาจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่มีกำลังซื้อ ในราคาเพียงเม็ดละ $1.00 เท่านั้น แต่ความเกลียดชังก็ยังเท่าเดิม และคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของรัฐสภา ก็ติดตามเรื่องของเขาอย่างใกล้ชิด

เพื่อเป็นการลดแรงกดดัน ในที่สุดสเกรลี่ ก็ออกมาประกาศว่า ก่อนถึงคริสต์มาสนี้ เขาจะประกาศลดราคายาดาราพิม ให้ลงมาอยู่ในระดับที่ “พอซื้อหาได้” (Affordable) ซึ่งถ้าจะให้ผมคาดการณ์ ผมคิดว่าต่อให้เขาลดราคาลงมาอีกมากถึงครึ่งหนึ่ง เหลือเม็ดละ $375 ก็เป็นราคาที่สังคม “รับไม่ได้” อยู่ดี และความเป็น อีแร้ง ของเขา ก็จะมิได้ลดลงไปเลย แม้แต่น้อย

อย่าว่าแต่คนในสังคมจะโกรธแค้นเขาอย่างหนักเลย แม้แต่พนักงานของเขาเองบางคน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องหันกลับมาถามตนเองว่า “ยังสมควรจะทำงานให้บริษัทตูริ่ง ต่อไปหรือไม่” และหนึ่งในนั้นก็คือ เคร็ก โรเทนเบิร์ก หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กร ของตูริ่ง ซึ่งได้ขอลาออกจากงาน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ซึ่งผมคิดว่าคนที่มีจิตสำนึกและความกล้าหาญอย่าง เคร็ก โรเทนเบิร์ก คงหาไม่ได้ง่ายนัก และสมควรได้รับการกล่าวถึงในที่นี้

แม้เรื่องของสเกรลี่ และความกดดันจากหลายทิศทาง จะดำเนินมาแล้วเป็นเวลาสองเดือนแล้ว แต่เจ้าหนุ่มน้อยปากกล้า อดีตผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์คนนี้ ก็ยังกร้าวเหมือนเดิม เขายังยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิด และที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง วันที่ 19 พฤศจิกายน บริษัทยาขนาดเล็กแห่งหนึ่งชื่อว่า คาโลไบออส ฟาร์มาซูติคอลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาที่ใช้รักษาโรคลูคีเมีย ได้แถลงข่าวว่า สเกรลี่ได้เข้าซื้อหุ้น 70% ของบริษัท เรียบร้อยแล้ว และสเกรลี่ จะเข้ามาเป็น ซีอีโอ ของบริษัทนี้ด้วยตนเอง

ผมอยากให้คุณผู้อ่านลองทายว่า ข่าวนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับบริษัท คาโลไบออส เดือดร้อนแน่ๆใช่ไหมครับ ขอโทษครับ นั่นเป็นการทายที่ผิด เพราะทันทีที่ข่าวนี้ออกมา ราคาหุ้นของคาโลไบออส กลับวิ่งกระฉูดพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเพียงหุ้นละ $0.44 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน เป็นหุ้นละ $39.50 ในวันจันทร์ที่ 23 ถัดมา!

ล่าสุด ในขณะที่ผมกำลังจะปิดท้ายบทความนี้ เมื่อวานนี้ก็มีประกาศออกมาจากบริษัทตูริ่งแล้วว่า บริษัทจะลดราคายา ดาราพิม ให้แก่ผู้ซื้อที่เป็นโรงพยาบาล โดยมีส่วนลดตามปริมาณการซื้อ ถ้าซื้อจำนวนมากๆ ส่วนลดสูงสุดจะเป็นที่ 50% นอกจากนั้น ตูริ่งจะบรรจุยาในขนาดที่เล็กลง คือขวดละ 30 เม็ด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อแต่ละครั้ง แต่ราคาขายอย่างเป็นทางการ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ยังคงอยู่ที่ เม็ดละ $750 เช่นเดิม

ประกาศออกมาอย่างนี้ ผมเชื่อว่าคุณและผมน่าจะทายไม่ผิดว่า ตำแหน่ง “บุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดในอเมริกา” จะยังคงเป็นของสเกรลี่ ต่อไปอีกนานทีเดียว......

นอกจากนั้น ในขณะที่คณะกรรมาธิการรัฐสภา กำลังไล่บี้สเกรลี่อยู่นั้น สเกรลี่ ก็ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาด้านพีอาร์ เพื่อทำการ “ล๊อบบี้นักการเมือง” อย่างหนักเช่นกัน ตรงนี้ ผมคิดว่ามันสะท้อนความเป็นจริงอย่างหนึ่งของชีวิต ว่านักธุรกิจ กับนักการเมือง และ ล๊อบบี้อิสท์ นั้น แยกจากกันไม่ขาดจริงๆ

นอกจากนั้น แม้ว่าผู้คนจะรังเกียจสเกรลี่สักเพียงใดก็ตาม แต่เพียงทราบว่าเขาเข้าไปถือหุ้น 70% และจะไปบริหารบริษัท คาโลไบออส เท่านั้นเอง ราคาหุ้นก็วิ่งจาก $0.44 ต่อหุ้น เป็น $39.50 ต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 8,000% ในช่วงเวลาเพียง 4-5 วันเท่านั้น......นี่มันอะไรกันหรือ?

ตรงนี้ ผมคิดว่า มันก็สะท้อนอย่างชัดเจนว่า “ความโลภ” ของมนุษย์เรานั้น บ่อยครั้งที่มันแยกจาก “ความถูกต้อง” ไม่ออกเลยจริงๆ.........

เศร้าใจจัง