คนอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จมีดีอะไร?

คนอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จมีดีอะไร?

ความสำเร็จที่ทุกคนควรภูมิใจในตนเองได้ก็คือ สามารถหารายได้เลี้ยงตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างพอเพียงโดยสุจริต

“เด็กเดี๋ยวนี้รวยเร็วนะ” นี่เป็นคำรำพึงของผู้ใหญ่วัยประมาณ 50 หยกๆ 60 หย่อนๆที่เห็นหนุ่มสาวหน้าใสวัยสามสิบต้นๆทั้งชาวไทยและต่างประเทศประสบความสำเร็จเป็นเถ้าแก่มีเงินหลายล้านทั้งๆที่ทำงานเพียงไม่กี่ปี ไม่เหมือนสมัยก่อนที่กว่าหลงจู๊จะทำการค้าขายและเก็บหอมรอมริบจนมีเงินล้านได้ก็ต้องใช้เวลากว่าสิบปี กว่าจะรวยเป็นเถ้าแก่ก็มักล่วงเข้าวัยสี่สิบแก่ๆเข้าไปแล้ว แต่คนสมัยนี้ถ้าหาช่องทางเหมาะ มีนวัตกรรมสร้างสินค้าหรือบริการแหวกตลาดออนไลน์ได้ไม่นานก็สามารถจับเงินล้านได้ไม่ยาก ทำให้เยาวชนและพ่อแม่ของเยาวชนหลายคนอยากรู้ว่ามันมีช่องทางที่จะสร้างตัวหรือสร้างลูกของตัวให้รวยเร็วกันบ้างไหม

ใครๆก็อยากประสบความสำเร็จมีหน้าที่การงานและการเงินดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยุคโซเชียลมีเดียรุ่งเรืองที่ได้เห็นคนอายุเพียงยี่สิบ กว่าๆอย่างมาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ค ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเป็นอภิมหาเศรษฐีมีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านโดย ที่ไม่ต้องทำงานกันเป็นสิบหรือยี่สิบปี ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเยาว์วัยจึงกลายเป็นไอดอลให้ ทั้งวัยรุ่นและพ่อแม่ผู้ปกครองของเยาวชนต่างก็อยากที่จะหาสูตรสำเร็จที่จะ สร้างตัวหรือสร้างลูกของตัวให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วที่สุด ถึงกับมีผู้ออกมาเขียนหนังสือแนะวิธีรวยลัดรวยเร็วออกมากันมากมาย คนอ่านจะรวยเร็วหรือเปล่ายังไม่ทราบแน่ แต่คนเขียนน่าจะรวยก่อน

ขอเรียนก่อนว่าผู้เขียนคอลัมน์นี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการรวยเร็ว แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกระบวนการสร้างความสำเร็จในชีวิตนั้น อาจเป็นไปได้ค่ะ ดิฉันให้ความสำคัญกับการวัดความสำเร็จของคนเราจากการที่เราสามารถพึ่งพาตนเองทางการเงินได้โดยสุจริตเป็นลำดับแรก ซึ่งไม่จำเป็นต้องรวย (แน่ละ ถ้ารวยได้ก็ย่อมดี) ลำดับต่อมาคือ ความสุขใจ ส่วนเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงและการได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมนั้นเป็นลำดับรองลงไป ดิฉันคิดว่าความสำเร็จที่ทุกคนควรภูมิใจในตนเองได้ก็คือ สามารถหารายได้เลี้ยงตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างพอเพียงโดยสุจริต และตัวเองมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ สองประการนี้สำคัญยิ่งกว่าการมีเงินทองมากมาย มีชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ได้เงินและได้เกียรติยศมาจากความไม่ชอบธรรม หรือถึงแม้ชอบธรรมแต่เจ้าตัวไม่มีความสุขใจ มีเงินมากมาย มีคนนับหน้าถือตาแต่ชีวิตส่วนตัวแย่ มีแต่โรคและความทุกข์ แบบนี้ดิฉันคิดว่ามันไม่ใช่ความสำเร็จที่สมบูรณ์ที่ดิฉันและหลายคนมองหา

 โดยดิฉันนิยามความหมายของการประสบความสำเร็จไว้ว่า คือ “การที่มีหน้าที่การงานที่สร้างรายได้ให้ตนเองพึ่งพาตนได้โดยสุจริต ไม่มีหนี้ และมีสุขภาพกายกับสุขภาพใจที่ดี” ทั้งนี้ดิฉันมองว่าใครก็ตามที่ทำได้ดังที่ว่ามานี้ ถือว่าประสบความสำเร็จขั้นพื้นฐานแล้วค่ะ ส่วนที่ว่าจะมีสตางค์เยอะแยะ หรือมีชื่อเสียงโด่งดัง มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตเพียงใด นั่นเป็นความสำเร็จขั้นต่อไปที่สูงขึ้นไปอีก หากใครทำได้ก็ถือว่าเป็น “โบนัส” ของชีวิต การมีเป้าหมายสูงสำหรับชีวิตถือเป็นเรื่องดี แต่อย่าให้มันสูงมากเกินไปจนเป็นการกดดันตัวเอง เด็กบางคนหรือผู้ใหญ่บางคนต้องเครียดเรียนหนัก ทำงานหนัก ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฝันของตนเอง แต่เพื่อสนองความคาดหวังของพ่อแม่หรือคนรอบข้างโดยที่ตัวเองไม่มีความสุขเลย แบบนี้มันก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง

สำหรับใครที่กำลังมองหาหนทางที่จะประสบความสำเร็จแบบพอเพียงตั้งแต่อายุไม่เกิน 30ปีตามที่ดิฉันได้กล่าวมาข้างต้น มาอ่านกันต่อเลยค่ะว่ามีหนทางสานฝันอย่างไรกันบ้าง ทั้งนี้ดิฉันได้มีโอกาสอ่านบทความของนักวิชาการและที่ปรึกษาหลายคนที่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับคุณลักษณะของคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยจากหลายแหล่ง

โดยหนึ่งในแหล่งของข้อมูลก็คือบรรดาบล็อกเกอร์ที่สื่อสารกันผ่านบล็อกของ Harvard Business Review ดิฉันศึกษาข้อมูลเหล่านี้แล้วนำมาประมวลรวมกับข้อมูลที่ดิฉันได้วิจัยเรื่องคุณลักษณะของผู้นำที่ประสบความสำเร็จที่เป็นทั้งเจ้าของกิจการและมืออาชีพที่เป็นลูกจ้างแล้วจึงได้สรุปการวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อสังเกตให้ท่านผู้อ่านลองนำไปพิจารณาดูนะคะว่าคนที่ประสบความสำเร็จในวัยประมาณ 30 ปีเขามีคุณสมบัติอะไรบ้าง

-ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต ผู้ที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆล้วนเป็นผู้ที่มีความฝัน มีฉันทะ (passion) ที่อยากเป็นอะไรสักอย่างในชีวิต และอยากเป็นให้ดีที่สุด สตี๊ฟ จ๊อบส์ บิลล์ เกตส์ มาดอนน่า คุณชนินทร์ ว่องกุศลกิจ อ. บัณฑิต อึ้งรังษี ตลอดจนคุณสุริวิภา กุลตังวัฒนา และโก๊ะตี๋ล้วนเป็นคนธรรมดาซึ่งผ่านอุปสรรคและมรสุมชีวิตมามาก แต่ความที่มีอุดมการณ์ความฝันและมีใจรักในสิ่งที่ตนทำอย่างแน่วแน่ ทำให้บุคคลเหล่านี้ได้ดีและประสบความสำเร็จในอาชีพของตนตั้งแต่อายุยังน้อย และยังดำรงความสำเร็จที่น่าพอใจได้จนถึงปัจจุบันอย่างยั่งยืนพอสมควร

-ต้องมีความมุ่งมั่นอดทนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคง่ายๆ มองรอบๆตัวเราโดยให้พิจาณาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นต้น พระองค์ท่านมิได้ทรงเป็นเพียงนักคิด แต่พระองค์ท่านเป็นนักปฏิบัติที่ทรงงานหนักหน่วง ทรงงานอย่างสม่ำเสมออดทน งานของพระองค์ท่านในการดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยไม่ใช่งานที่เบาสบายและง่ายเลย พระองค์ท่านต้องบุกป่าฝ่าดงไปตามถิ่นทุรกันดารที่แม้แต่ข้าราชท้องถิ่นบางคนยังไปดูแลไม่ถึง ด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคจึงทำให้งานของพระองค์ท่านก้าวหน้าเห็นผลลัพธ์ พิสูจน์ได้โดยมีชาวบ้านนำปรัชญาและวิธีการทำงานของพระองค์ท่านไปปฏิบัติตามแล้วมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

-ต้องยอมรับความล้มเหลวได้รวดเร็วและปรับตัวเร็ว ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์เดินดินย่อมหนีไม่พ้น สุข ทุกข์ สำเร็จ และล้มเหลวผิดหวัง ไม่มีผู้ที่ประสบความสำเร็จคนใดไม่เคยพบกับความล้มเหลว สำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อเห็นเค้าลางของความล้มเหลวเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุม ผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาไวมักจะไหวตัวทันอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอให้ล้มแผละแน่นิ่งแบบเน่าสนิท พอเริ่มเอนๆก็ย่อมรับรู้ได้แล้ว ยอมลดอัตตา ยอมรับความผิดพลาดล้มเหลว แล้วรีบเปลี่ยนกลยุทธ์การทำงานอย่างรวดเร็ว แค่ทำใจยอมรับความล้มเหลวได้รวดเร็วยังไม่เพียงพอ ต้องปรับกระบวนท่าให้เร็วตามได้ด้วยจึงจะครบเครื่อง ซึ่งการที่จะทำใจได้เร็วและปรับตัวได้เร็วเป็นทักษะที่ต้องฝึกกันตั้งแต่เล็กๆ การเล่นกีฬาก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สอนให้คนเรารู้จักพ่ายแพ้ผิดหวัง และลุกขึ้นมาแก้ตัวใหม่อย่างรวดเร็ว คุณสมบัติข้อนี้เป็นข้อที่ยากสำหรับคนอายุน้อย จะสังเกตได้จากตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยมากๆแค่วัยทีนเอจ เช่น พวกดาราหรือนักร้องวัยรุ่นที่มีเงินหลายล้าน มีแฟนรุมคลั่งไคล้มากมาย ทำให้ลืมตัว และบริหารความสำเร็จชื่อเสียงที่เข้ามาอย่างรวดเร็วไม่เป็น บางคนก็พึ่งยาเสพติด บางคนก็ใช้เงินไม่เป็น เสียเด็กเสียคนไปก็มาก ไม่สามารถรักษาความสำเร็จให้ยั่งยืนได้ เป็นเรื่องน่าเสียดาย เมื่อเห็นตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์และล้มเหลวอย่างรวดเร็วก็จงจำเอาไว้เป็นบทเรียนที่จะสอนตนเองไม่ให้พลาดพลั้งอย่างพวกเขาเหล่านั้นให้จงดี

-ต้องเป็นคนที่มีวินัยทางการเงิน ไม่ต้องเก่งกาจขนาดเป็นนักวิเคราะห์การลงทุนหรอกค่ะ สังเกตดูสิคะว่าใครก็ตามที่รู้จักใช้เงินอย่างมีเหตุผล รู้จักเก็บออมตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่สุรุ่ยสุร่าย เห็นใครมีอะไร ฉันต้องมีบ้างโดยไม่คำนึงถึงศักยภาพของตน เป็นนักช้อปแต่ไม่เป็นนักออม แบบนี้มักไปไม่รอด คนที่รู้จักออมโดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนขี้เหนียวและเอาเปรียบผู้อื่นจะเป็นผู้ที่มีความมั่นคงทางการเงินซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการประสบความสำเร็จ และยิ่งถ้ามีความสามารถทางการเงินมาก ก็จะยิ่งสามารถบริหารเงินให้งอกเงยได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก คนบริหารเงินเก่งๆในโลกและในบ้านเรามีตัวอย่างให้เห็นมากมาย อย่างไรก็ตามต้องระวังเรื่องคุณธรรมจริยธรรมในการทำธุรกิจด้านการเงินด้วย เพราะมีนักการเงินหลายคนที่มีประวัติการทำงานที่ไม่ค่อยสะอาดนัก จึงไม่นำมายกตัวอย่างในที่นี้ ขอให้เลือกนักการเงินที่มีประวัติดีมาเป็นไอดอลเอาเองก็แล้วกัน

-เป็นผู้ที่กล้าท้าทายอำนาจและกระบวนการ ในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Challenge the authority and process” ซึ่งในภาษาไทยเราแปลคำ “challenge” ว่า “ท้าทาย” ซึ่งมันฟังดูก้าวร้าวรุนแรงในวัฒนธรรมของเรา แต่สำหรับฝรั่ง คำๆนี้ไม่ได้หมายความในทำนองก้าวร้าวเสมอไป มันอาจหมายถึงการที่คนเราไม่เชื่อและทำตามคนอื่นง่ายๆโดยไม่คิดไตร่ตรองว่าระเบียบข้อนั้น กฏเกณฑ์ข้อนั้น หรือบุคคลคนนั้นมีความน่าเชื่อถือ มีความชอบธรรมถูกต้องเพียงใดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง เช่น แนวทางปฏิบัติของผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีมาแต่โบราณอาจจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมถูกต้องสำหรับช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คำสอนนั้นอาจไม่เหมาะสมอีกต่อไปแล้วก็ได้ คนที่มีนวัตกรรมคิดสร้างอะไรใหม่ หรือพวกนักพัฒนา นักปฏิรูปมักจะเป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่ทำตามคำสั่งหรือคำสอนของใครง่ายๆจนกว่าจะมีการทดลองพิสูจน์ทราบให้มั่นใจเสียก่อน ซึ่งการตั้งคำถามหรือมีข้อสงสัยในความเชื่อ คำสั่ง หรือคำสอนของผู้มีอาวุโสหรือผู้มีอำนาจคงทำได้ยากหน่อยสำหรับสังคมไทย แต่หากทำด้วยความสุภาพนอบน้อมและจริงใจ การมีคำถามย่อมไม่ใช่ความก้าวร้าว แต่เป็นการขอพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ผู้มีอำนาจและมีจริยธรรมต้องเปิดใจกว้างยอมรับให้มีการซักถาม ถ้าโลกเราไม่มีการท้าทายสงสัยในบทเรียนเก่าๆ โลกเราคงไม่เจริญมาจนทุกวันนี้

-จัดระบบของงานและชีวิตได้ดี (Well organized) คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักเป็นคนที่มีกิจกรรมการงานที่ต้องทำมากมาย ใครๆก็เชื่อในฝีมือความสามารถและต้องการตัวให้ไปทำงานด้วย ในกรณีที่เป็นเจ้าของกิจการก็มักจะต้องมีเรื่องต้องวางแผน ตัดสินใจและแก้ปัญหาอยู่ทุกๆวัน สรุปก็คือ มักไม่ค่อยมีเวลาว่าง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงมักเป็นผู้ที่สามารถบริหารเวลาและจัดระบบตารางการทำงานของตนได้ดี แม้จะมีงานร้อยแปดพันเก้าที่รอให้ทำและตัดสินใจซึ่งต่อให้ทำงานวันละ 24 ชั่วโมงก็ไม่มีทางทำเสร็จ คนที่ประสบความสำเร็จจะมีสำนึกรู้ว่าเรื่องอะไรเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำก่อน เขาจะรู้จักการจัดลำดับความสำคัญของงาน (priotization) นอกจากนี้ยังรู้จักมอบหมายงานและอำนาจ (delegate) ให้คนอื่นช่วยทำงานและตัดสินใจอย่างเหมาะสม คนที่ไม่ไว้วางใจใคร ต้องทำเองทุกอย่างหมดจะไม่สามารถขยายขอบเขตความสำเร็จให้กว้างขวางออกไปได้ ลองสังเกตคนเก่งๆบางคนที่อาจประสบความสำเร็จในช่วงแรกของการทำงานหรือในการเปิดธุรกิจช่วงแรก แต่พอเริ่มมีงานมามากขึ้น มีลูกค้ามากขึ้น ทีนี้เริ่มมีปัญหาแล้วเพราะทำไม่ทัน เคยเห็นเจ้าของร้านอาหารหลายคนที่ทำอาหารอร่อยมาก แต่ไม่สามารถขยายกิจการได้เพราะมอบหมายและจัดแบ่งงานให้คนอื่นไม่เป็น ก็เลยต้องจำใจทำธุรกิจแค่ขนาดพอเพียงต่อไป

นอกจากการจัดระบบงานที่ต้องทำแล้วก็ยังต้องรู้จักจัดเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวและครอบครัวด้วย ต้องมีเวลาพักผ่อน ออกกำลังดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีสมดุลย์ของชีวิตที่ดี มิฉะนั้นอาจป่วยหรือเครียดหรือซึมเศร้าจนไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง บางคนก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ประมาณว่าดังเร็ว ประสบความสำเร็จเร็ว แล้วก็ร่วงหรือดับเร็ว

-รักษาสัมพันธภาพกับพันธมิตรหรือหุ้นส่วนคนสำคัญได้ยาวนาน น้อยคนที่จะสามารถประสบความสำเร็จแบบ “ข้ามาคนเดียว” โดยมากก็ต้องมีคนให้ความช่วยเหลือสนับสนุนร่วมมือในหลายๆด้าน เช่น ให้คำแนะนำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน หรือช่วยงานในฐานะอยู่ในทีมงานเดียวกัน เป็นต้น การรักษาสัมพันธภาพให้ยั่งยืนต้องอาศัยความซื่อตรงจริงใจต่อกัน การรู้จักให้ และรับอย่างเป็นธรรม (Give and take) การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ซึ่งทั้งหมดนี้หมายถึงการมี “วุฒิภาวะทางอารมณ์” (Emotional Quotient) นั่นเอง หลายท่านคงเคยดูหนังชีวประวัติของผู้มีชื่อเสียงบางคนที่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวง่าย ซึ่งการไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ทำให้คนสนิทรอบข้างทนไม่ไหวแล้วตีตัวออกห่าง ทำให้ในที่สุดคนที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆเสื่อมและดับลงอย่างน่าเสียดาย อย่าลืมคำกล่าวที่ว่าIQ ช่วยให้คนเราได้งานทำ แต่ EQ ช่วยให้เรารักษาตำแหน่งงานของเราได้อย่างยั่งยืน” นะคะ

-ใฝ่ศึกษาหาความรู้และพัฒนาจุดด้อยของตนเองอย่างต่อเนื่อง ต่อให้เก่งแสนเก่ง ฉลาดแสนฉลาด แต่ทุกคนย่อมไม่สามารถรู้ไปทุกเรื่อง ถึงจะเรียนสูงแต่ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน คนที่ประสบความสำเร็จล้วนเป็นคนที่มีองค์ความรู้ในตัว จึงสามารถสร้างความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง แต่ในการก้าวต่อไปก็ต้องมีความรู้เพิ่ม บุคคลที่ดิฉันเห็นว่าใฝ่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคือ คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และยังมีอีกหลายท่านค่ะ การที่ใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดทำให้มีความคิดใหม่ๆหนทางใหม่ๆในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครแก่เกินเรียนค่ะ

ส่วนในเรื่องข้อด้อย คนเราคงไม่สามารถแก้จุดด้อยของเราได้หมดทุกประการ ในฐานะที่ดิฉันมีประสบการณ์ในการโค้ชผู้บริหาร ผู้บริหารไม่จำเป็นต้องแก้จุดด้อยที่มีทุกข้อ ให้เลือกเฉพาะข้อที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นความสำเร็จก่อน เช่น ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบรายละเอียดจุกจิก แต่ในฐานะผู้บริหารที่ต้องดูแลเรื่องการเงิน แบบนี้จำเป็นที่จะต้องฝึกตนเองให้ใส่ใจในรายละเอียด มิฉะนั้นความไม่ละเอียดอาจสร้างปัญหาใหญ่โตในหน้าที่งานได้ หรือบางคนไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ เมื่องานก้าวหน้ามากขึ้น จำเป็นต้องติดต่อกับชาวต่างประเทศ จะใช้แต่ล่ามตลอดไปคงไม่คล่องตัว กรณีนี้ก็ต้องพัฒนาฝึกปรือภาษากันอย่างต่อเนื่องจริงจัง ไม่มีใครที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ถ้าตั้งใจจริงค่ะ

-ประมวลข้อมูลและคิดคำนวนอย่างรอบคอบ จากการสำรวจพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จที่แม้จะมีอายุน้อยและอาจไม่ได้จบการศึกษาสูง (โดยเฉพาะพวกที่เป็นเจ้าของกิจการที่ทนเรียนจนจบมหาวิทยาลัยไม่ไหว) พวกเขาเหล่านั้น “ทำการบ้าน” มาดีในเรื่องของการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆเพื่อมาประมวลและพัฒนาเป็นทางเลือกต่างๆ จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของทางเลือกต่างๆซึ่งยังอาจรวมไปถึงการนำทางเลือกต่างๆไปทดลองปฏิบัติเพื่อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียให้เห็นจริง (ซึ่งเป็นนิสัยของบรรดาพวกเถ้าแก่น้อยที่เป็นนักปฏิบัติชอบลงมือ) การลงมือหาข้อมูลอย่างละเอียดทำให้คนที่ประสบความสำเร็จวัยหนุ่มสาวเป็นผู้ที่คิดคำนวนอย่างรอบคอบ ดังนั้นการตัดสินใจของพวกเขาจึงมักไม่ค่อยพลาด ทั้งนี้จุดอ่อนของคนหนุ่มสาวโดยส่วนมากก็คือการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ วู่วาม ใจร้อนอยากเห็นผลเร็วๆนั่นเอง รู้เคล็ดลับข้อนี้แล้วจะได้ขยันทำการบ้านมากขึ้นและรอบคอบมากขึ้นนะคะ

-รักษาจริยธรรม ดิฉันเชื่อในคำโบราณที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ซึ่งเราก็คงได้เห็นหลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการคดโกงหรือทำในสิ่งที่ผิดจริยธรรมว่าพวกเขามีจุดจบเป็นอย่างไร จะช้าหรือเร็ว ในที่สุดไม่มีใครสามารถปกปิดความชั่วไว้ได้ตลอด อยากประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน กลางคืนนอนหลับสนิท คนในครอบครัวนอนหลับสนิท ไม่มีใครมาสาปแช่ง ไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครมาขุดคุ้ยว่าโกงมาอย่างไรจึงได้ร่ำรวยหรือเป็นใหญ่เป็นโตรวดเร็วขนาดนั้นก็จงทำงานอย่างมีจริยธรรม

10 ข้อครบพอดีในการตอบคำถามว่าคนอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จมีดีอะไร คงไม่ยากเกินไปที่จะเริ่มทำดูใช่ไหมคะ?