'ขุนศึก'ในรอยจำเดือนตุลา

'ขุนศึก'ในรอยจำเดือนตุลา

42 ปีที่แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 ซึ่งสุดแท้จะเรียกขานกันว่า “ตุลาวิปโยค” หรือ “ปฏิวัติเดือนตุลา”

อีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์ 14 ตุลา คือความขัดแย้งภายใน “กลุ่มขุนศึก” ผู้ถืออำนาจปกครองบ้านเมือง ณ เพลานั้น

ตอนเกิดเหตุตำรวจจับนักศึกษา ตามมาด้วยการชุมนุมใหญ่ เดินขบวน และจบด้วยการจลาจลนองเลือด ระหว่างวันที่ 9-15 ต.ค. 2516 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งจบชั้นมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ และสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 12

เชื่อว่า ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ในวัย 20 ต้นๆ คงไม่ทราบหรอกว่า การแย่งชิงอำนาจภายในกลุ่มขุนศึก ระหว่าง “สองจอมพล” กับ “หนึ่งนายพล” เป็นจุดเปลี่ยนของการจลาจลกลางเมือง

ตัวละครสำคัญในฝ่ายทหาร พ.ศ.นั้นคือ จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร กับ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา

จะว่าไปแล้ว “สามขุนศึก” ล้วนเติบโตมาจากค่ายสี่เสาเทเวศร์ ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

บังเอิญว่า จอมพลสฤษดิ์เสียชีวิตอย่างกะทันหัน อำนาจจึงตกอยู่ในมือจอมพลถนอม โดยมีจอมพลประภาส นั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก มาตั้งแต่ปี 2509 และ พล.อ.พล.อ.กฤษณ์ เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก นานถึง 7 ปี

พล.อ.กฤษณ์ เติบใหญ่ในกองทัพภาคที่ 1 ตั้งแต่ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ และขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในวันที่จอมพลสฤษดิ์ ก่อการยึดอำนาจโค่นล้มจอมพล ป.พิบูลสงคราม

การผูกขาดอำนาจของจอมพลถนอม ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควบผู้บัญชาการทหารสูงสุด และจอมพลประภาส ในตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ควบผู้บัญชาการทหารบก ทำให้นายทหารคนอื่นหมดโอกาสขยับ

จอมพลถนอม เหมือนรู้สัญญาณว่า 7 ปี ในเก้าอี้ ผบ.ทบ.นานเกินไปแล้ว จึงแต่งตั้ง พล.อ.กฤษณ์ เป็นแม่ทัพบก ตอนปลายเดือนก.ย.2516

ช่วงที่เกิดจลาจลกลางเมืองในวันที่ 14-15 ต.ค.2516 พล.อ.กฤษณ์ ในฐานะผู้กุมอำนาจกองทัพบก จึงขอให้สองจอมพล พร้อมครอบครัวเดินทางออกนอกประเทศ

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ศูนย์อำนาจใหม่จึงอุบัติขึ้น โดยมี พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร อธิบดีกรมตำรวจ

พล.อ.กฤษณ์ จึงเป็นผู้ถืออำนาจที่คอยค้ำยันรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์และแอบแฝงสร้างพรรคการเมือง 4-5 พรรค

หลังเลือกตั้งปี 2518 พล.อ.กฤษณ์ ได้รวบรวมพรรคขนาดกลาง-เล็ก 10 พรรค หนุน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แห่งพรรคกิจสังคม เป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อเกษียณอายุราชการ พล.อ.กฤษณ์ ยังเล่นการเมืองหลังม่าน เดินเกมเปลี่ยนตัวนายกฯ โดยอาศัย ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ และพล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เป็นตัวประสานพรรคอื่นๆ แต่หม่อมคึกฤทธิ์ รู้ทันเกมอำนาจ จึงชิงประกาศยุบสภา หักหลังฝ่าย พล.อ.กฤษณ์

การเลือกตั้งเดือนเม.ย.2519 พล.อ.กฤษณ์ หันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ สกัดหม่อมคึกฤทธิ์จนเป็นผลสำเร็จ แต่ปลายเดือนเดียวกัน พล.อ.กฤษณ์เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เพียงไม่กี่วัน

อันที่จริง อำนาจในกองทัพเริ่มเปลี่ยน หลังจาก พล.อ.กฤษณ์ เกษียณอายุราชการ ทหารแยกออกเป็นหลายกลุ่ม โดยมีการแทรกแซงกองทัพจาก ผู้มีบารมีเหนือรัฐ และรัฐบาลสหรัฐ ที่ไม่ต้องการให้เกิดสงครามปฏิวัติประชาชน เหมือนในลาว กัมพูชา และเวียดนาม

ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ระหว่างนักศึกษาปีกซ้าย กับมวลชนปีกขวา นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้น

รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 จึงบังเกิดขึ้น โดยกองทัพแห่งชาติ นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ และ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

    ในปีเดียวกันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อย จปร. และเป็นนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 23

ว่ากันว่า นักเรียนนายร้อยจปร. ทุกรุ่น ต่างยกให้จอมพลสฤษดิ์เป็นไอดอล เพราะเป็นผู้บัญชาการทหารแบบไทยๆ ไม่ได้จบนอกเหมือนจอมพล ป. และได้สร้างวาทกรรม “ประชาธิปไตยแบบไทย” ให้รุ่นน้องได้ยึดถือสืบทอดกันมา

     อีก 40 ปีถัดมา นักเรียนนายร้อย ประยุทธ์ก็ได้นำพาชาติไทยไปตามครรลองประชาธิปไตยแบบไทยอีกครั้ง