อนุรักษนิยมแบบไทยๆ

อนุรักษนิยมแบบไทยๆ

ในการศึกษาวิชารัฐศาสต ร์สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาก็คือสิ่งที่เรียกว่า “อุดมการณ์ทางการเมือง (political ideology)”

เพราะเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง การใช้อำนาจรัฐ และการให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล อีกทั้งยังสะท้อนสภาพของสังคมและวัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละสังคมอีกด้วย ซึ่งเราสามารถแบ่งอุดมการณ์ทางการเมืองออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เสรีนิยม (liberalism) อนุรักษนิยม (conservatism) และฟาสซิสม์ (fascism) โดยไม่มีสังคมไหนที่เป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมหรือฟาสซิสม์ร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งสังคม อยู่ที่ว่าพฤติกรรมและแนวความคิดของส่วนใหญ่ จะค่อนไปทางใดมากกว่า

จากอดีตจวบจนปัจจุบัน สังคมไทยผ่านการปกครองมาหลายรูปแบบ แต่จากพฤติกรรมของผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล ที่ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว สังคมไทยเรานั้นมีอุดมการณ์ทางการเมืองค่อนไปทางอนุรักษนิยม แต่เป็นอนุรักษนิยมแบบไทยๆ โดยผมจะยกตัวอย่างประกอบเปรียบเทียบหลักการของอนุรักษ์โดยทั่วไป กับตัวอย่างของอนุรักษนิยมแบบไทยๆ ดังนี้

1)  ระเบียบและความมั่นคง (order and stability)

พวกอนุรักษนิยมเชื่อว่า ระเบียบและความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องรักษาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือเรื่องศาสนา ชาติกำเนิด และความรักชาติ ซึ่งไทยเราก็มีสิ่งดังกล่าวนี้เช่นกัน แต่ยังมีเพิ่มเติมไปมากกว่านั้นก็คือ ระบบโซตัส (SOTUS) ซึ่งย่อมาจาก Senoir (อาวุโส), Order (กฎ ระเบียบคำสั่ง), Unity (ความเป็นเอกภาพ, ความสามัคคี) และ Spirit (จิตวิญญาณ ความสำนึกรักพวกรักพ้อง) ซึ่งระบาดไปทั่วในสถาบันการศึกษาต่างๆ ไม่เว้นแม้ในระดับโรงเรียนมัธยม

2) ความชั่วร้ายของคน(wickedness of man)

พวกอนุรักษนิยมเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมๆ กับธรรมชาติที่โหดร้าย น่ากลัว ดังนั้น มนุษย์จึงต้องการรัฐบาลมาช่วยให้สังคมมนุษย์ให้ไร้ซึ่งความวุ่นวายและป่าเถื่อน โดยใช้กฎหมายและศาสนาเข้ามาจัดการ พวกอนุรักษนิยมจึงไม่เชื่อในตัวมนุษย์ ซึ่งในสังคมไทยจะเห็นได้ชัดมาก ตัวอย่างเช่น การเรียกร้องให้มีการใช้อำนาจนอกระบบเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยไม่เชื่อในวิธีการแก้ปัญหาตามวิถีทางของประชาธิปไตย ที่เน้นการเจรจาและการประนีประนอม เป็นต้น

นอกจากนั้น สังคมไทยมักจะนิยมชมชอบและเรียกร้องให้มีการใช้กฎหมายที่มีโทษที่รุนแรง โดยเชื่อว่าหากกฎหมายยิ่งแรง คนทำผิดจะยิ่งน้อยลง ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง เช่น การใช้โทษประหารชีวิตกับผู้ต้องหาคดีอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดียาเสพติดหรือคดีข่มขืน เป็นต้น

3) ประสบการณ์ (experience)

พวกอนุรักษนิยมเชื่อในประสบการณ์มากกว่าเหตุผล เพราะเขาไม่เชื่อว่า มนุษย์จะใช้หลักเหตุผลได้อย่างถูกต้อง เราคนไทยจึงมักได้ยินอยู่คำพูดของผู้ใหญ่อยู่เสมอว่าตนเอง “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ซึ่งก็หมายถึงเกิดมาดูโลกก่อนนั่นเอง ฉะนั้น อย่ามาเถียง

4) สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (gradual change)

พวกอนุรักษนิยมไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการปฏิวัติ (revolution) หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ดังนั้น พวกอนุรักษนิยมจึงมีความหวาดกลัวต่อการปฏิวัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือว่าเป็นการถอนรากถอนโคนระบบสังคมแบบเดิม ที่เขาเห็นว่าหากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ควรเป็นไปอย่างช้าๆ ของไทยเราก็เช่นกัน ดังจะเห็นได้จาก เมื่อคราใดที่มีการรณรงค์ให้มีประชาธิปไตยแบบเต็มใบ หรือมีการรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ก็จะได้ยินเสียงค้านว่า “ประชาชนยังไม่พร้อม” อยู่เสมอ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วใครกันแน่ที่ไม่พร้อม

5) ไม่เชื่อในความเท่าเทียมกัน(equality)

พวกอนุรักษนิยมไม่ชอบความเท่าเทียมกัน เพราะเขาเชื่อว่ามันจะเป็นอันตรายต่อเสรีภาพ (ของเขา) โดยเนื้อแท้เขาสนับสนุนรัฐบาลที่มีรากฐานอยู่ที่การเป็นผู้ดี และต่อต้านพวกทุนนิยม ที่เข้าสู่อำนาจจากความร่ำรวย และต่อต้านระบอบประชาธิปไตย เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกับระเบียบและความมั่นคง ซึ่งพวกอนุรักษนิยมของไทยเราหลายคนยังเชื่อว่า เสียงที่มีคุณภาพของคนในเมืองที่จำนวนน้อย ดีกว่าเสียงของคนชนบท ที่แม้ว่าจะมีจำนวนมาก และเป็นเสียงส่วนใหญ่แต่ไร้คุณภาพ

6) ไม่เชื่อในความเป็นสากล(universalism)

พวกอนุรักษนิยมไม่เชื่อว่า จะมีอะไรเป็นสิ่งที่เป็นสากลใช้ได้กับทุกสังคม เช่น หลักสิทธิมนุษยชน หลักประชาธิปไตย ฯลฯ โดยเชื่อว่าแต่ละสังคมต่างมีวิถีการพัฒนาเป็นของตนเอง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละสังคม เช่น หลักสิทธิมนุษยชนเป็นของฝรั่งไม่เหมาะกับคนไทย หรือประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ต้องมีทหารคอยเช็กบิลนักการเมืองที่ออกนอกลู่นอกทาง เป็นต้น

ฉะนั้น พวกอนุรักษนิยมจึงมักถูกเรียกว่า ฝ่ายขวา (right wing) บ้าง พวกระมัดระวัง (cautious) บ้าง พวกเชื่องช้า (slow) บ้าง หรือไม่ก็แรงๆ แบบไทยๆ ไปเลยว่าพวก “ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” บ้าง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยเราจะถูกจัดอยู่ในสังคมที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบอนุรักษนิยม แต่ในบางครั้ง ก็ถูกผลักไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยฝ่ายเสรีนิยม (liberalism) เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือ เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ฯลฯ หรืออาจถูกดึงให้ถอยหลังด้วยการรัฐประหารของฝ่ายฟาสซิสม์(fascism) โดยเฉลี่ยทุก 4- 5 ปี/ครั้ง

จากบทเรียนของประวัติศาสตร์ทั่วโลก กงล้อการเมืองจะต้องหมุนไปข้างหน้าเสมอ แม้ว่าบางครั้งอาจถอยหลังกลับไปไกล เช่น พม่าหรือคิวบาก็ตาม แต่ก็กลับมาเดินหน้าต่ออยู่นั่นเอง ฉะนั้น การเมืองการปกครองของไทยของเราจึงต้องเดินหน้าต่อไป ไม่มีใครสามารถหยุดนาฬิกาประชาธิปไตยได้อย่างเป็นการถาวรหรอกครับ