อนาคตของไทยกับการเผชิญความจริง New Normal

อนาคตของไทยกับการเผชิญความจริง New Normal

ใครมองอนาคตประเทศไทย พร้อมข้อเสนอที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อไม่ให้เรากลายเป็นประเทศไร้ความหวัง

ต้องฟังและนำมาวิเคราะห์ ใครมองอนาคตประเทศไทย พร้อมข้อเสนอที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อไม่ให้เรากลายเป็นประเทศไร้ความหวัง ต้องฟังและนำมาวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน เพราะถ้าเห็นพ้องก็ควรนำมาปรับใช้ หากเห็นต่างก็ต้องหาสูตรแย้งที่นำมาใช้ให้ได้ผลมากกว่า

เพราะไม่มีอะไรจะน่าเป็นห่วงเท่ากับอนาคตของประเทศแล้ว

อดีตเป็นอย่างไรก็แก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันก็เห็นจ้าละหวั่นอยู่กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่สั่งสมมาจากวันก่อน ๆ มีแต่อนาคตเท่านั้นที่เราจะสามารถสร้างสมความรู้ความสามารถ และแก้ไขสิ่งผิดพลาดของวันนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้อีก

ด้วยเหตุนี้บทวิเคราะห์และข้อเสนอเรื่อง “New Normal” ของสถาบันอนาคตไทยศึกษาที่มีคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิเป็นประธานที่เพิ่งนำเสนอต่อสาธารณะเมื่อเร็ว ๆ นี้จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

เพราะเป็นข้อเสนอที่เรียกร้องให้คนไทยยอมรับความจริงว่าอนาคตจะไม่มีอะไรสบาย ๆ อย่างที่เป็นมาก่อน และไทยจะต้องสร้างความแข็งแกร่งบนพื้นฐานของการทำงานหนัก ตระหนักในปัญหาและหาทางแก้เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้อะไรต่อมิอะไรต้อง “สายเกินการ” อย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้

New Normal (มาตรฐานปกติสูตรใหม่) แปลว่าคนไทยคาดหวังไม่ได้อีกแล้วว่าอัตราโตทางเศรษฐกิจจะสูงถึง 5% อย่างที่เคยเป็นไปตลอดในอดีต ต่อไปนี้จะอยู่ที่ 3% ต่อปีเท่านั้นและจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งทศวรรษ

และอัตราโตของการส่งออกที่เคยสูงถึง 10-12% ต่อปีจะหล่นมาที่ระดับ 4% เท่านั้น

New Normal แปลว่าการลงทุนจะเปลี่ยนจากเงินต่างประเทศเป็นการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น

New Normal แปลว่านโยบายประชานิยมจะต้องลดลงและยุติ สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คือการประหยัด รัดเข็มขัด คนไทยต้องกลับมาสร้างนิสัยการออมเป็นรูปธรรม เพราะหนี้ครัวเรือนที่ใกล้ 80% ของจีดีพีนั้นทำให้อยู่ในภาวะความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสูงมาก

การมีหนี้ครัวเรือนสูงเช่นนี้ส่งผลให้ความพยายามกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ไม่อาจจะมีผลดั่งที่รัฐบาลต้องการหรือที่นักเศรษฐศาสตร์อยากจะเห็น

สามารถที่อะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนไปเพราะปัจจัยหลายประการ ข้อแรกคือประชากรไทยเข้าสู่สังคมวัยชราอย่างรวดเร็ว จนกำลังแรงงานแทบไม่เพิ่ม ค่าจ้างโตเร็วจนแซงประสิทธิภาพการผลิต

ผลที่ตามมาก็คือความสามารถในการแข่งขันของไทยกับประเทศอื่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

เห็นได้จากที่นักลงทุนต่างชาติขยับจากไทยไปอินโดนีเซียและเวียดนามที่กำลังเป็น “ดาวรุ่ง” ในอาเซียนขณะที่ไทยเราติด “กับดักรายได้ปานกลาง” และยังไม่มีท่าทีว่าจะสามารถก้าวพ้นจุดนี้ได้หากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง

การส่งออกที่ชะลอตัวลงเป็นอาการที่น่าวิเคราะห์ เพราะหากโทษตลาดโลกที่ซบเซาลงอย่างเดียวก็จะหลงเข้าใจผิด เพราะความจริง เศรษฐกิจโลกไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น แม้เรี่ยวแรงเศรษฐกิจของจีนจะแผ่วลง

แต่โครงสร้างเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างสำคัญ แม้จะกลับมาโตเท่าเดิม ก็ไม่ได้ทำให้การค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมากเหมือนก่อน

ข้อเสนอหลัก ๆ สามประการของสถาบันอนาคตไทยศึกษาล้วนมีความสำคัญที่คนไทยทุกสาขาวิชาชีพต้องตระหนัก และไม่ว่าใครจะอาสามาเป็นรัฐบาล ต่อไปก็จะต้องตอบคำถามประชาชนได้ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด

นั่นคือ 1. อย่ากระตุ้นด้านอุปสงค์หรือการบริโภคมากเกินพอดีเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาโตเหมือนเดิม เพราะศักยภาพของประเทศได้เปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตซึ่งยากกว่า แต่สำคัญกว่า เพราะอัตราโตที่ 3% ต่อปีจะเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่ 5% หรือมากกว่านั้นอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไป

2. สร้างระบบการคุ้มครองทางสังคมที่เป็นธรรม ครอบคลุมและครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดการเยียวยาแบบไม่มีที่สิ้นสุด และต้องไม่ให้กลายเป็นนโยบายประชานิยมหรือการเรียกร้องเยียวยาที่ไม่มีวันจบ

3. มุ่งการรวมกลุ่มและทำการค้ากับกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงหรือ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม) กับจีนตอนใต้ ไม่ใช่เพียงแค่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC อย่างเดียวเพราะลุ่มแม่น้ำโขงมีอัตราโตทางเศรษฐกิจเร็วมาก และไทยสามารถมีบทบาทที่คึกคักในย่านนี้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราวางแผนและปฏิบัติจริงจังกว่าที่ผ่านมา

นี่เป็นเพียง New Normal บางประเด็นที่สำคัญหากเรากำลังจะลงมือปฏิรูปเพื่ออนาคตของเราเองและลูกหลาน

New Normal ที่แท้จริงคือการปรับฐานลง – เพื่อให้แน่นขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้นและยั่งยืนกว่าเดิม

และเพื่อให้วันพรุ่งนี้ดีขึ้นตามที่วาดหวัง เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้!