ถ้าจีน ‘ฮัดเช้ย’ ไทยร้อง ‘ไอ้หยา’

ถ้าจีน ‘ฮัดเช้ย’ ไทยร้อง ‘ไอ้หยา’

แต่ก่อน คนไทยบอกว่าถ้ายักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐจาม เราก็จะติดหวัด

วันนี้ มีคนเปลี่ยนไปบอกว่าเราต้องพึ่งพาจีนมากขึ้นตามลำดับ เผลอ ๆ ทางด้านเศรษฐกิจ จีนจะกลายเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของเรามากขึ้น

แปลว่าต่อไปนี้ถ้าจีน ฮัดเช้ยไทยก็ต้องร้อง ไอ้หยากันทีเดียว

ทุกสำนักเศรษฐกิจของไทยยอมรับว่า ที่การส่งออกของเราลดต่ำลง จนอาจจะติดลบได้ในช่วงไตรมาสที่สามและสี่ของปีนี้นั้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของคือการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ที่เคยมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ 8-10% ก็หดตัวลงต่ำกว่า 7%

แม้ว่าไตรมาสแรกของจีนจะรายงานอัตราโตอยู่ที่ 7% แต่ก็มีการคาดกันว่าตัวเลขเฉลี่ยทั้งปีอาจจะได้เห็นตัวเลข 6% เศษ ๆ เท่านั้น

เมื่อตลาดหุ้นจีนแสดงอาการผันผวนรุนแรง ไม่เพียงแต่นักเล่นหุ้นที่จะต้องอกสั่นขวัญแขวน แต่ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจก็จะต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวของจีน เพราะหาก ฟองสบู่ ตลาดหุ้นจีนแตกจริงอย่างที่นักวิเคราะห์บางส่วนกลัวกัน ส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจมังกรก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

และหากตลาดหุ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนเกิดอาการ ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางขึ้นหรือลงก็ตาม ผลกระทบก็จะไม่จำกัดอยู่เฉพาะในจีนเท่านั้น แต่ไทยและอาเซียนอื่น ๆ ก็จะพลอยได้รับผลทางลบเช่นกัน

เพราะหากดูสถิติการส่งออกของอาเซียนไปจีนในระยะห้าปีที่ผ่านมาจะเห็นการก้าวกระโดดที่รวดเร็วและรุนแรง

นักวิเคราะห์บางคนประเมินว่าในภาพที่เลวร้ายที่สุด หากจีดีพีของจีนปีนี้เฉลี่ยขึ้นเพียง 6.5% ก็จะมีผลทำให้การโตของผลผลิตมวลรวมของไทยลดลงเหลือ 2.5% โดยที่การส่งออกไปจีนลดลง 3-4%

เพราะจีนคือที่มาของรายได้การส่งออกและการลงทุนของไทย ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง

แต่ถ้ามองภาพกลาง ๆ อย่างที่ไอเอ็มเอฟประเมินเอาไว้ นั่นคือจีนจะมีอัตราโตเฉลี่ยปีนี้ทั้งปีที่ 6.8% ก็จะส่งผลให้จีดีพีของไทยอยู่ที่ 3.3% โดยที่การส่งออกของไทยจะลดลง 2-3%

แน่นอนว่าปัจจัยทางลบอื่น ๆ สำหรับเศรษฐกิจไทยในหกเดือนหลังของปีนี้ยังมีอีกหลายประเด็นเช่นภัยแล้ง ใบเหลืองจากสหภาพยุโรปเกี่ยวกับ IUU หรือการประมงผิดกฎหมาย นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ Fed และหนี้ครัวเรือนที่พุ่งขึ้นอย่างน่ากังวล

และแน่นอนว่าเรื่องการเมือง รัฐธรรมนูญและความสามารถของรัฐบาล ในการบริหารความคาดหวังของประชาชน ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าหัวข้อต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว

แต่ภาพที่เราต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของจีนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้ ทำให้เราต้องทบทวนถึงแนวทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่กำลังจะมีความพัวพันกับเศรษฐกิจในประเทศอย่างแยกออกจากกันไม่ได้เลย

การคบหากับจีนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น แต่นโยบายต่างประเทศและความมั่นคงกับเศรษฐกิจจะต้องเดินไปพร้อมกันเพื่อให้เราสร้างอำนาจต่อรองที่แข็งแกร่ง และไม่ติดอยู่ใน กับดัก ของนโยบายต่างประเทศที่ขาดมิติรอบด้าน

การรักษา ดุลถ่วง และ ระยะห่างอันเหมาะสม ในการคบหาจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย สหภาพยุโรปและแม้แอฟริกากับตะวันออกกลาง เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศอย่างใหญ่หลวง

นั่นเป็นทางเดียวที่เราจะสร้าง ภูมิต้านทานให้กับตัวเองเพียงพอ เพื่อว่าหากยักษ์ประเทศใดจามเสียงดัง เราก็ไม่จำเป็นต้องติดโรคหรือล้มป่วยไปอย่างที่กำลังเห็นอาการอยู่ขณะนี้