แผนพัฒนาฉบับที่ฯ 12 กับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศไทยประกาศใช้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับแรกในปี 2504 ในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
เป็นนายกรัฐมนตรี การออกแบบแผนพัฒนาฯ ฉบับแรก ได้รับการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจากธนาคารโลก(World Bank) แผนพัฒนาฯในช่วงต้นเน้นไปที่การก่อสร้างสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งเขื่อน ถนน และทางรถไฟ ก่อนที่ในแผนต่อๆมาจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านสังคม ทรัพยากรมนุษย์ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ ถึงปัจจุบันประเทศไทยมีแผนพัฒนาฯแล้ว11 ฉบับ รวมระยะเวลากว่า 44 ปี
ในเดือน ก.ย. 2559 จะสิ้นสุดระยะเวลาในการใช้แผนพัฒนาฯฉบับที่ 11 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลัก กำลังอยู่ในช่วงการจัดทำแผนพัฒนาฯฉบับที่ 12 สำหรับขับเคลื่อนประเทศระหว่างปี 2560 – 2564 ซึ่งกระบวนการทั้งหมดทั้งการรับฟังความคิดเห็น การปรับปรุงร่างและการนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย น่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. ปีหน้าความพิเศษของแผนฉบับที่ 12 ก็คือเป็นแผนที่จะเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งจากสมาชิกสภาปฏิรูป(สปช.) และแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยในระยะ 20 ปีของรัฐบาลมาอยู่ในแผนด้วย โดยแผนพัฒนาฯจะทำหน้าที่เป็นแผนเชิงปฏิบัติการ (operating plan) ของยุทธศาสตร์ชาติช่วยเสริมให้ประเทศพัฒนาไปทีละขั้นตอนสู่เป้าหมายตามที่ยุทธศาสตร์กำหนดไว้
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาฯฉบับที่12 จะเป็นแผนฉบับแรก ที่มีการนำแผนเข้าสู่ขั้นตอนการรับรองของรัฐสภา เพื่อให้มีผลทางกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนด ว่ารัฐบาลมีหน้าที่ต้องบริหารประเทศ ตามข้อกำหนดของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งต่างจากเดิมที่รัฐบาลต้องสนองตอบต่อนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน จนละเลยไม่หยิบแผนพัฒนาฯ ขึ้นมาดำเนินการให้เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
ในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 มีการวางเป้าหมายไว้หลายด้าน ทางด้านเศรษฐกิจระบุว่าเมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับนี้ในปี 2564 มีเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง การเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อประชากร (GDP Per Capita) เพิ่มขึ้นเป็น 317,051 บาท และรายได้ประชาชาติต่อหัว (GNP Per Capita) เพิ่มขึ้นเป็น 301,199บาท ต่อคนต่อปี ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) จะขยายตัวได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ผลิตภาพการผลิตของประเทศเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า2.5%ต่อปี การลงทุนรวมโดยเฉลี่ยขยายตัวไม่ต่ำกว่า 8% และการส่งออกขยายตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า4%ต่อปี
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สศช.ยอมรับว่าการทำให้ประเทศไทย หลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลางนั้นไม่ง่าย เพราะถ้าคิดบนพื้นฐานว่าจีดีพีของประเทศโตได้ปีละ 3.7% ก็ต้องขยายตัวต่อเนื่องกันในระดับนี้ไม่ต่ำกว่า15 ปี ประเทศไทยจึงจะหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ นอกจากนั้นข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของไทยยังเผชิญกับปัญหาสำคัญเช่น การหดตัวของประชากรวัยแรงงาน การปรับโครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรมที่ยังไม่ทันต่อสภาวะการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น ภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการดูแลประชากรสูงอายุ
ที่สำคัญความท้าทายของประเทศในระยะ5 – 10 ปีข้างหน้าไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้นยังมีประเด็นทางสังคมอีกมากที่ต้องวางแผนแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งคุณภาพการศึกษา ความเหลื่อมล้ำ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความแออัดของประชากรในสังคมเมือง การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างด้าว และการแก้ปัญหาแรงงานนอกระบบ ฯลฯ
แม้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญจะทำให้แผนพัฒนาฉบับที่12 มีผลทำให้รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติ แต่ความท้าทายที่สุดประการหนึ่ง ก็คือจะทำอย่างไรให้แผนพัฒนาฯฉบับนี้ เป็นแผนที่ได้รับการตอบรับและพร้อมร่วมขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ใช่เป็นแผนที่กำหนดและขับเคลื่อนโดยภาครัฐเพียงเท่านั้น







