เราต่างก็เป็น ‘พลังบริสุทธิ์’
ที่ต้องการ ‘จุดติด’ ความเป็น ‘ประชาธิปไตย’
นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า นักศึกษา 14 คนที่ถูกจับเพราะต่อต้านรัฐประหารเป็น “พลังบริสุทธิ์” และเป็นห่วงอนาคตของเยาชวน แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย
เครือข่ายอาจารย์เรียกร้องให้รัฐบาล ปล่อยตัวนักศึกษาโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะพวกเขาและเธอเป็นเพียง “นักโทษทางความคิด”
นักศึกษากลุ่มนี้ไม่ยอมรับอำนาจของศาลทหาร บอกว่าถ้าจะขึ้นศาลก็ต้องเป็นศาลพลเรือน และขอให้มีการไต่สวนอย่างเปิดเผย ให้สาธารณชนได้รับทราบ
รัฐบาลบอกว่าบ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ จึงต้องมี คสช. นักศึกษาควรจะเข้าใจว่าเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นมาอย่างไร จึงตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่
นักศึกษายืนยันในเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น ต้องการให้ทหารเคารพสิทธิของประชาชน และการใช้วิธี “อารยะขัดขืน” เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
คนที่ติดตามข่าวคราวเรื่องนี้ก็จะเห็นว่า สังคมไทยแบ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน แล้วแต่เหตุผลของแต่ละฝ่าย ซึ่งก็มีน้ำหนักเท่ากับความเชื่อของแต่ละฝ่าย
มีคนตั้งประเด็นว่าการประท้วงของนักศึกษากลุ่มนี้จะ “จุดติด” หรือไม่?
ความหมายของ “จุดติด” นิยามอย่างไรไม่ชัดเจน แต่เข้าใจว่าเป็นภาษาการเมืองไทย หมายถึงจะได้รับการตอบสนองจากส่วนอื่นๆ ของสังคมจนบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนคุกคามเสถียรภาพของผู้มีอำนาจหรือไม่
แต่ผมคิดว่าคำว่า “จุดติด” ควรจะหมายความถึงการที่สามารถทำให้คนในสังคม เกิดการกระตุ้นเตือนให้เห็นความสำคัญ ของการถกแถลงอย่างเปิดเผยว่าเส้นทางสู่ “ประชาธิปไตย” ของไทยควรจะต้องเดินไปข้างหน้าอย่างไร และบทบาทของแต่ละฝ่ายจะต้องแสดงความรับผิดชอบกันอย่างไร
หากความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของนักศึกษา และอาจารย์ที่ตั้งคำถามว่าด้วย “อำนาจพิเศษ” กับ “ประชาธิปไตย” ก่อให้เกิดการตื่นตัวของสังคมทั้งมวล ที่จะลุกขึ้นร่วมกันแลกเปลี่ยนอย่างจริงจัง และเปิดกว้างว่าประเทศไทยจะก้าวพ้นความขัดแย้งและ “วงจรอุบาทว์” ของเลือกตั้งสลับกับรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร ผมก็ถือว่าเป็นการ “จุดติด”
และเป็นการ “จุดติด” ที่มีประโยชน์ต่อสังคมทั้งมวล
นายกฯบอกว่านักศึกษาที่ประท้วงเป็น “พลังบริสุทธิ์” ขณะที่ก่อนหน้านี้คนใหญ่คนโตในรัฐบาลบางคนบอกว่ามี “นักการเมืองบางคนบางกลุ่มอยู่เบื้องหลัง”
หากผู้นำประเทศเชื่อเช่นนั้นจริงก็จะต้องฟัง “พลังบริสุทธิ์” ของคนทั้งประเทศ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ล้วนต้องการ “ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” ให้ประเทศปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชน
นักศึกษาเป็นคนรุ่นใหม่ของบ้านเมือง เป็นผู้ต้องรับช่วงต่อจากรุ่นนี้ มีความคิดความอ่านที่ต้องการเห็นบ้านเมืองอยู่ในระบบที่ถูกต้องเป็นธรรม ไม่มีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้อำนาจเผด็จการกดขี่บังคับคนอื่นด้วยอำนาจที่ไม่ถูกต้อง
ขณะเดียวกัน “พลังบริสุทธิ์” ของสังคมก็ต้องการเห็นประชาชนสามารถควบคุมการทำงานของนักการเมืองที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศ ต้องการจะป้องกันและปราบปรามความชั่วร้ายของสังคมที่มาในรูปของการฉ้อราษฎร์บังหลวง มีผลประโยชน์ทับซ้อน และใช้อำนาจการเมืองเพียงพอสร้างความร่ำรวยและยึดกุมอำนาจทางการเมืองให้ยาวนานที่สุดด้วยวิธีการฉ้อฉลทุกรูปแบบ
“พลังบริสุทธิ์” ของสังคมไทยควรต่อต้านทั้งรัฐประหารและนักการเมืองทุนสามานย์เพราะทั้งสองแนวทางนี้ทำให้เกิดคนมีอำนาจเบ็ดเสร็จกลุ่มเดียว
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากประชาชนสามารถสร้าง “พลังบริสุทธิ์” ตามความหมายที่แท้จริงของ “ประชาธิปไตย” แล้วรัฐประหารและ “ทุนนิยมสามานย์” ก็ย่อมจะเกิดไม่ได้
“พลังบริสุทธิ์” ของสังคมไทยจึงไม่ควรให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นเงินหรือรถถังแบ่งแยกประชาชนเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างที่เห็นอยู่ขณะนี้
“พลังบริสุทธิ์” ต้อง “จุดติด” เพราะ “เบื้องหลัง” ของความเคลื่อนไหวเพื่อ “ประชาธิปไตย” นั้นคือ “ประชาชน” ทุกหมู่เหล่า