กรณีจับนักศึกษาบทเรียนร่วมกัน

กรณีจับนักศึกษาบทเรียนร่วมกัน

ดูเหมือนทางออกเกี่ยวกับกรณี จับกุมนักศึกษาและนักกิจกรรม 14 คน เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาแล้ว

หลังจาก กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของ 14 นักศึกษา และนักกิจกรรมที่ถูกคุมขัง ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามคำสั่งของศาลทหาร ออกมากล่าวถึงท่าทีของฝ่ายอำนาจรัฐ (5 ก.ค.) ว่า เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่รัฐบาลเข้าใจนักศึกษาทั้ง 14 คน และเข้าใจว่า เหตุที่เด็กนักศึกษาทำไปเพียงเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น และพร้อมที่จะพูดคุยเจรจาหาทางออก

ทั้งกล่าวด้วยว่า ในวันจันทร์ที่ 6 ก.ค. จะนำเรื่องนี้ ไปแจ้งให้กลุ่มนักศึกษาทราบ แต่การตัดสินใจต่อข้อเสนอใดๆ ยังขึ้นอยู่กับนักศึกษา

ขอให้ทางการแสดงเจตนาให้ชัดเจน ว่าต้องการประสานเพื่อหาทางออกร่วมกันหรือไม่และอย่างไร ผมก็จะรับความหวังดีนี้ไปเสนอนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาพิจารณา หากตรงกับเจตนาของนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน ที่ต้องการให้มีข้อเสนอที่ชัดเจนว่า รัฐบาลทหารจะส่งมอบคืนอำนาจการปกครองให้ประชาชนตามโรดแมพ ก็คงมีการตอบสนองอย่างหนึ่งอย่างใดจากนักศึกษา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่ทั้งหมดยังเป็นความเห็นส่วนตัวของผม ส่วนการตัดสินใจขึ้นอยู่กับนักศึกษาทั้ง 14 คน

ก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่า กระแสความเคลื่อนไหวเรื่องนี้เป็นไปอย่างครึกโครม จนแทบกลบกระแสอื่นไปเลยก็ว่าได้

เนื่องเพราะทั้งฝ่ายอำนาจรัฐ และฝ่ายนักศึกษา ต่างฝ่ายต่างแสดงจุดยืนที่จะเผชิญหน้าอยู่ไม่น้อย โดยฝ่ายอำนาจรัฐมองว่า กลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว มีคนอยู่เบื้องหลัง ขณะที่กลุ่มนักศึกษาก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ว่าต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลและองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แสดงความเห็นใจและเข้าใจนักศึกษา มากกว่ารัฐบาล และข้อเรียกร้องที่สำคัญคือให้ปล่อยนักศึกษาทั้ง 14 คน อย่างไม่มีเงื่อนไข

ขณะที่ฝ่ายอำนาจรัฐเอง ก็ไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างแจ้งชัดว่า ใครอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา

ยิ่งกว่านั้น จากกระแสข่าวที่ออกมา ยังพบด้วยว่า กลุ่มนักศึกษาบางส่วน อย่าง ดาวดิน ถือว่า เป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ด้อยโอกาสในภาคอีสานมาก่อน จึงยากจะบอกว่า พวกเขามีคนหนุนหลัง

กระนั้นก็ใช่ว่า สิ่งที่ฝ่ายอำนาจรัฐเป็นห่วงว่าหากปล่อยไปจะก่อให้เกิด ลัทธิเอาอย่าง ตามมา จะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

โดยเฉพาะเมื่อมองในมุมของการรักษาความสงบเรียบร้อย ในภาวะที่บ้านเมืองไม่ปกติ และยังมีความเปราะบางอย่างยิ่งต่อความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้

เพราะอย่าลืมว่า การยึดอำนาจของ คสช. เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และแตกแยกในสังคม ย่อมมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ยิ่งกว่านั้น การดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับผู้มีอำนาจรัฐที่ผ่านมา ซึ่งมีพฤติกรรมส่อว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน หรือ ทำผิดกฎหมาย ก็มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และเห็นว่ามีการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายหนึ่งอีกต่างหาก

โดยเฉพาะที่ต้องยอมรับก็คือ ขั้วขัดแย้งทางการเมือง ยังคงอยู่ และพร้อมที่จะแสดงออกทางการเมือง เพื่อตอกย้ำความขัดแย้งได้ทุกเมื่อ

ยังไม่นับ กลุ่มที่มีความต้องการ ฉวยโอกาส จากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง ซึ่งก็ปฏิเสธการมีอยู่จริง ไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้น การหาทางลงของเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด และไม่ทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่า เป็นฝ่ายผิด น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด เพราะถ้าจะว่าไปแล้วก็ ยากพิสูจน์ ทั้งสองฝ่าย แล้วแต่จะมองมุมไหน หรือให้ความสำคัญที่สุดกับเรื่องอะไร

แต่แน่นอนที่สุด เรื่องนี้มี บทเรียน ให้กับทุกคน นั่นคือดีแล้วที่ปัญหาไม่บานปลาย จนกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรง และนำไปสู่สิ่งที่เราทุกคนก็ไม่มีใครต้องการ เพราะอาจสูญเสียเกินกว่าที่คาดก็เป็นได้ ใครจะรู้!!!