เรือล่ม แผ่นดินไหวสรรพคราส
ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่กระทบชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างมาก มันจึงเป็นสิ่งที่คนสนใจกันตั้งแต่โบราณ
ไม่ว่าจะน้ำท่วม ภัยแล้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุ สึนามิ ฯลฯ
ประมาณ 3,000 ปีก่อนค.ศ.ในที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส ชาวซูเมเรียนเริ่มบันทึกตำแหน่งและการโคจรของดวงดาว พร้อมกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น พวกเขาค้นพบความสอดคล้องต้องกันของทั้ง 2 สิ่ง มันเป็นจุดเริ่มต้นของโหราศาสตร์ทำนายบ้านเมือง (Mundane Astrology) ที่พัฒนาสืบทอดต่อกันมา จนรุ่งเรืองมากในยุคสมัยของกรีก-โรมัน
แม้ผ่านการพัฒนากว่า 5,000 ปีจากปราชญ์หลากหลายอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่การทำนายเภทภัยธรรมชาติ (ด้วยโหราศาสตร์) ให้ถูกต้องสมบูรณ์ทั้ง “เวลา” และ “สถานที่” ก็ยังเป็นไปไม่ได้ แต่แน่นอน ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และโมเดลที่ซับซ้อนของนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน ก็ทำไม่ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าต้องทำนายล่วงหน้าไกลๆ ด้วยแล้ว โอกาสถูกยิ่งเหลือน้อยมาก
ข้อได้เปรียบสำคัญของโหราศาสตร์คือ รู้ว่า “เมื่อใด” ที่ดวงดาวโคจรสัมพันธ์กันในรูปแบบ-โครงสร้างที่มีโอกาสสูงที่จะก่อให้เกิดเภทภัยธรรมชาติต่างๆ
กล่าวได้ว่า โหราศาสตร์สามารถทำนาย “ช่วงเวลา” ที่เกิดเหตุเภทภัยต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและมีเปอร์เซ็นต์ความถูกต้องสูง (แม้ไม่อาจเจาะจงถึงตำแหน่งที่เกิดเหตุได้ก็ตาม)
กลางมีนา - สิ้นเมษาคือช่วงเวลาสำคัญของปี 58 ในการระมัดระวังเภทภัยทั้งหลาย โดยเฉพาะภัยธรรมชาติ เพราะ (1) เกิดสรรพคราสติดกัน 2 ครั้งใน 15 วัน (2) ดาวใหญ่ 3 ดวงคือ พฤหัส-มฤตยู-พลูโต อยู่ในจังหวะให้โทษ
ในบทความ “พฤหัส-มฤตยูร่วมคราส” เมื่อ 3 เมษา ผู้เขียนทำนายไว้ว่า
“...จันทรคราสเกิดค่ำวันที่ 4 อีก 2 วันต่อมา มฤตยูกุมอาทิตย์สนิท เกิดภาวะ “ดาวดับ (Combustion)” ตำแหน่งมฤตยูดับ...เล็งจุดจันทรคราส...สนิทพอดีลักษณะเช่นนี้คือ “มฤตยูดับร่วมคราส” พอดี ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก...มฤตยูดับบอกถึงอุบัติเหตุ-อุบัติภัยต่างๆ มฤตยูอยู่มีน-ธาตุน้ำ พร้อมกับถูกจันทรคราสเล็งสนิท ระมัดระวังเภทภัยเกี่ยวกับน้ำให้มาก หรือภัยอันตรายใหญ่หลวงในดินแดนใกล้น้ำ...”
และ “...พุธดับในวันที่ 10 เมษา...ที่ 25 องศา 54 ลิปดาในราศีมีน พุธอยู่มีน-เป็นนิจจ์ ให้โทษอยู่แล้ว เมื่อดับในข่าย +/- 7 วันของจันทรคราส ยิ่งให้โทษหนัก พุธดับทับราหูเดิมในดวงเมืองสนิทพอดี อย่าประมาทศัตรูลับของบ้านเมือง...” (ดูที่
เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ? ในคืนวันที่ 10 เมษา เกิดระเบิดที่ห้างเซ็นทรัลสมุยและสหกรณ์โคออป-สุราษฎร์ฯ ตำรวจสรุปว่า เป็นฝีมือของขบวนการใต้ดินที่หวังร้ายต่อบ้านเมือง ตรงตามดาวเป๊ะ !
แต่ผลของคราสยังไม่หมด ในบทความกล่าวอีกว่า
"......อีกข้อคือพลูโตวิกลคติพักร์ (Stationary-retrograde) ในวันที่ 17 เมษา...ทำมุม 90 กับจุดจันทรคราส-มฤตยูและทำมุม 150 กับพฤหัสสนิทพอดีจุดวิกลคติของพลูโตจะกระตุ้นพลังงานของจันทรคราส - วัฏจักรมฤตยู-พลูโต - พฤหัสเสริดขึ้นมาอีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ใหญ่อีกชุดในช่วงนี้อย่าเพิ่งสรุปหรือตัดความเป็นไปได้ใดๆ จนกว่าจะสิ้นเดือนเมษา 58 ครับ..."
สิ่งที่เราได้เห็นคือ วันที่ 19 เมษา เกิดเหตุเรือล่มในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน - บริเวณนอกชายฝั่งประเทศลิเบีย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 700 รายนับเป็นโศกนาฏกรรมที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของทะเลแห่งนี้
ภัยอันตรายใหญ่หลวงในน้ำ - ดินแดนใกล้น้ำอีกแล้ว !
ไม่เพียงเท่านี้ วันที่ 22 เมษา เวลา (ท้องถิ่น) 18:05 น. ภูเขาไฟคาลบูโกในชิลีระเบิดขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไป 42 ปี ชิลีเป็นประเทศในฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ อยู่ระหว่างเทือกเขาแอนดีสกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีลักษณะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว โดยชายฝั่งทะเลยาวถึง 6,435 กิโลเมตร
เป็นอีกหนึ่งภัยพิบัติธรรมชาติในดินแดนใกล้น้ำ !
แต่อิทธิพลพลูโตวิกลคติพักร์ยังไม่หมดเภทภัยครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นวันที่ 25 เมษา เวลา 6:11:26 น. (UTC) หรือเวลาท้องถิ่น 11:56 น.คือเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ ที่พิกัด 28.147 องศาเหนือ 84.708 องศาตะวันออก ที่ระดับความลึก 15 กิโลเมตร ซึ่งห่างจากเมืองกาฐมาณฑุของเนปาล ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 77 กิโลเมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,600 ราย และเกิดความสูญเสียแก่ทรัพย์สินโบราณวัตถุอย่างประเมินค่าไม่ได้
แผ่นดินไหวครั้งนี้คือการสรุปรวมพลังงานดวงดาวทั้งหมดในช่วงกลางมีนา - สิ้นเมษา
เราทราบว่า จันทรคราส (สรรพคราส) วันที่ 4 เมษา อยู่ที่ 20 องศา 20 ลิปดาในราศีกันย์ขณะเกิดจันทรคราสนี้ พฤหัสอยู่ที่ 18 องศา 33 ลิปดา-ราศีกรกฎ มฤตยูอยู่ที่ 22 องศา 16 ลิปดา-ราศีมีน และพลูโตที่ 21 องศา 26 ลิปดา-ราศีธนู
อีก 2 วันให้หลัง (6 เมษา) มฤตยูดับเล็ง 180 กับจุดจันทรคราสสนิทพอดีอีก 2 วันต่อมา (8 เมษา) พฤหัสวิกลคติเสริด (Stationary-direct) หรือหยุดนิ่งเพื่อเดินหน้าและในวันที่ 17 เมษา พลูโตวิกลคติพักร์ (Stationary-retrograde) หรือหยุดนิ่งเพื่อถอยหลัง
วันเกิดเหตุ (25 เมษา) มฤตยูอยู่ที่ 23 องศา 26 ลิปดา เดินหน้ามาได้ 1 องศา 10 ลิปดา ยังอยู่ในข่ายเล็ง 180 กับจุดจันทรคราสเดิมขณะเดียวกัน มฤตยูทำมุม 90 กับพลูโตสนิทพอดี
ส่วนพฤหัสที่เพิ่งกลับเดินหน้า ก็อยู่ที่ 18 องศา 57 ลิปดา ทับตัวเองในวันคราสพอดี ทั้งยังทำมุม 120 กับมฤตยู-จุดจันทรคราส และทำมุม 150 กับพลูโต
พลูโตที่เพิ่งถอยหลัง ก็อยู่ที่ 21 องศา 27 ลิปดา ทับตัวเองในวันคราสพอดีเช่นกัน ทั้งยังเป็นจังหวะหน้า 10 หลัง 10 วัน (โดยประมาณ) ของจุดวิกลคติ (Stationary Point) อีกด้วย
จันทรคราส (เต็มดวง) ที่เกิดในจังหวะที่พฤหัส-พลูโตกลับทิศ พร้อมกับมฤตยูดับร่วมคราส และที่สำคัญ ทั้ง 4 ปัจจัยนี้มีมุมดาว (Aspect) สัมพันธ์ถึงกันสนิทองศานี่คือสาเหตุสำคัญของการเกิดแผ่นดินไหว
แล้วสุริยคราส (สรรพคราส) วันที่ 20 มีนาที่ 5 องศา 23 ลิปดา-ราศีมีน เกี่ยวข้องอะไรด้วย ?
คำตอบคืออังคารจร (วันเกิดเหตุ) ทำมุม 45 สนิทกับสุริยคราส (Orb 3.5 องศา) กระตุ้นพลังงานของสุริยคราส (เต็มดวง) ให้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง
อย่าลืมว่า อังคารคือดาวเจ้าการของอุบัติเหตุ - อุบัติภัยเสมอมา
และแน่นอน อังคารทำมุม 90 กับพฤหัส และทำมุม 120 กับพลูโต เชื่อมโยงพลังงานของสุริยคราสและจันทรคราสเข้าด้วยกัน
คำอธิบายทางโหราศาสตร์ของการเกิดแผ่นดินไหวที่เนปาลครั้งนี้ ก็มีเหตุผลหลักๆ ประมาณนี้ (ขอข้ามรายละเอียดและเทคนิคที่ยากเกินไป) คำถามคือ อิทธิพลสรรพคราสคู่นี้จะหมดลงเมื่อไร ?
สุริยคราสมีอิทธิพล (อย่างน้อย) 1 ปี ขณะที่จันทรคราสมีอิทธิพล (อย่างน้อย) 6 เดือน ซึ่งต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ประกอบด้วย
สรรพคราสคู่นี้จึงไม่เพียงไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ยังรอจังหวะแผลงฤทธิ์อีกในอนาคตอันใกล้ครับ