นายกฯหลี่เสียนหลงเล่า ลีกวนยูเลี้ยงลูกอย่างไร?

นายกฯหลี่เสียนหลงเล่า ลีกวนยูเลี้ยงลูกอย่างไร?

ภาพนี้อดีตนายกฯ ลีกวนยู และภรรยา กับนายกฯหลี่เสียนหลง แห่งสิงคโปร์ตอนเด็ก ทั้งพ่อแม่ลูกมีรอยยิ้มแห่งความสุข

ของการเป็นครอบครัวที่ เคร่งครัด เอาจริง และมุ่งมั่น

มีคนอยากรู้มากว่า ลีกวนยู ที่เพิ่งจากไปในวัย 91 มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไร?

คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่า ลูกคนโตที่เป็นนายกฯปัจจุบันคือ หลี่เสียนหลง ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์เมื่อสองปีก่อนว่า

“คุณพ่อเคร่งครัดในการเลี้ยงดูลูกมาก เป็นคุณพ่อที่ประเสริฐยิ่ง ส่วนใหญ่ท่านให้คุณแม่ดูแลพวกเรา เพราะท่านยุ่งกับงานการเมืองและความรับผิดชอบในหน้าที่มาก แต่เราในฐานะลูกจะรู้สึกเหมือนกับว่าท่านอยู่กับเราตลอดเวลา และเราก็รู้ว่าท่านคาดหวังอะไรจากเรา ท่านเข้มเรื่องวินัย และถ้าท่านไม่เห็นด้วยกับอะไรบางอย่าง ท่านไม่ต้องพูดเราก็รู้ได้ และเมื่อเราต้องการท่าน ท่านก็จะอยู่กับเรา ทุกครั้งที่มีวิกฤต ท่านเป็นกุญแจสำคัญของครอบครัว ตอนที่ผมป่วยเป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง และเมื่อภรรยาคนแรกของผมเสียชีวิต เราพึ่งพาการสนับสนุนและกำลังใจจากคุณพ่อ...ไม่ใช่เพียงจากถ้อยคำของท่าน แต่แค่ท่านอยู่กับเรา เราก็รู้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยเป็นปกติ....”

  นายกฯหลี่เสียนหลง บอกว่า คุณพ่อเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิต เป็นทั้งผู้สอนสั่งและผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตของตน อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างของการดำรงชีวิตอีกด้วย

ตอนเด็ก ๆ ความทรงจำที่ประทับใจคืออะไร?

คุณพ่อมักพาลูก ๆ ไปดูรถไฟตอนเย็น ๆ เพื่อดูรถไฟเข้าออกจากสถานี “ตอนนั้นผมอายุสัก 5-6 ขวบได้กระมัง เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่ได้เห็นรถไฟและได้แลกของระลึกจากนายสถานีรถไฟด้วย เวลาเราไปพักร้อน คุณพ่อและคุณแม่จะพาไป Cameron Highlands และเราก็จะหยุดพักที่กัวลาลัมเปอร์ พักที่โรงแรมรถไฟ และเราเด็ก ๆ ก็ได้วิ่งไปดูรถไฟกัน...”

ลีกวนยูเล่นกอล์ฟ จึงเชียร์ให้ลูกหัดตีบ้าง พ่อลูกจึงเล่นกอล์ฟกันเป็นประจำในระยะหนึ่ง

การได้พูดคุยกับคุณพ่อระหว่างตีกอล์ฟ คือช่วงเวลาของการเรียนรู้แลกเปลี่ยนระหว่างพ่อกับลูก

“คุณพ่อไม่ได้ทำกิจกรรมตลกคะนองอะไรมากมาย แต่ท่านมีเวลาให้กับครอบครัว”

ถามถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างพ่อกับลูก หลี่เสียนหลงบอกว่า “คุณพ่อไม่ใช่คนแสดงออกอะไรมากมาย และครอบครัวของเราก็ไม่ใช่ประเภทสนิทสนมด้วยการจับต้อง แต่สมาชิกในครอบครัวต่างมีความเคารพและเชื่อมโยงกัน คุณพ่อเอาจริงเอาจังกับลูก ๆ และเราเคารพนับถือท่านอย่างสูงสุด ถ้าเปรียบเทียบกับครอบครัวปัจจุบัน ครอบครัวเราอาจจะเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบค่อนข้างเป็นทางการ ทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวอาจจะเกร็งน้อยว่าทั้งในการปฏิบัติต่อพ่อแม่ หรือวิธีการพูดหรือเถียงกับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเราก็ต่างกันเพราะเราเป็นคนละรุ่น (generation) กัน”

นายกฯหลี่เสียนหลงเล่าว่า เรื่องการเรียนหนังสือ คุณพ่อไม่ต้องยุ่งมากนัก เพราะลูกทั้งสามต่างก็เรียนหนังสือกันอย่างจริงจังด้วยตัวเองอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ต้องคอยกวดขันหรือตรวจสอบ

“ผมไม่ใช่นักเรียนที่สอบได้คะแนนดีที่สุดของห้อง แต่ตราบเท่าที่ผมทำดีที่สุด ก็โอเค”

เคยถูกคุณพ่อลงโทษไหม?

“ก็มีบ้างเป็นครั้งคราว คุณแม่เป็นคนดูแลวินัยของพวกเรา แต่ถ้าคุณพ่อไม่พอใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรา เราก็จะรู้เอง”

อะไรคือคำแนะนำที่สำคัญที่สุดจากคุณพ่อ?

“ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมได้อาจจะมาจากการได้เฝ้าดูคุณพ่อทำงาน ต่อสู้ และรับรู้ถึงการที่ท่านต้องเผชิญกับประเด็นและความท้าทายทั้งหลายทั้งปวง ท่านเป็นสิ่งบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม ท่านสอนให้เห็นว่าการทำนโยบายต้องให้เข้าใจได้ และทำในสิ่งที่จะต้องทำ... ผมเห็นท่านทุ่มเทกับการเรียนภาษา โดยเฉพาะภาษาจีนกลางอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็ประทับใจมาก ท่านฟังเทป ฟังคุณครู และฝึกแล้วฝึกอีกจากเทป... ท่านฝึกฝนภาษาจีนกลางและฮกเกี้ยนอย่างไม่ลดละ แม้เมื่อท่านมีอายุมากแล้วก็ยังเรียนทุกวัน เพราะท่านไม่ต้องการจะลืมสิ่งที่ท่านได้พยายามร่ำเรียนมาตลอดชีวิต นั่นเป็นตัวอย่างชีวิตส่วนตัวที่น่าทึ่งจริง ๆ "

นายกฯหลี่เสียนหลง เล่าว่าแม้จะเป็นผู้อาวุโสในคณะรัฐมนตรี แต่บ่อยครั้งก็มีความคิดเข้มข้นไม่เบา

“ผมเฝ้าดูท่านในคณะรัฐมนตรี ในฐานะสมาชิกที่อายุมากที่สุด บางครั้งท่านมีความคิดสุดขั้วกว่าเพื่อน เช่นเรื่องกาสิโน ท่านต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หลายปี แต่ในท้ายที่สุด พวกเราก็สรุปว่าบ้านเมืองเปลี่ยนไปแล้ว และจอร์จ เยียว (รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมขณะนั้น) ก็ยืนยันด้วยเหตุและผลว่าทำไมเราต้องเดินหน้า เพราะโลกเปลี่ยนแล้วและเราก็ต้องเปลี่ยนตาม ผมคิดว่าท่านยังรักษาความเป็นนักคิดนักต่อสู้ของยุคสมัยแม้จะอายุมากเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...”

  นี่คือความทรงจำของลูกที่เป็นนายกฯ กับพ่อที่เป็นผู้ก่อตั้งประเทศ ยังมีรายละเอียดน่าสนใจระหว่างพ่อกับลูกคู่นี้ที่จะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป