ถังไท่จงกับยุทธการหู่เหลากวน

ถังไท่จงกับยุทธการหู่เหลากวน

นักการทหารตะวันตกเคยทึ่งกับกองทัพปลดแอกประชาชนจีน 6 แสนคนรบชนะกองทัพก๊กมินตั๋ง 8 แสนคนในยุทธการหวยไห่ในปี 1948-1949

อันเป็นการรบเดิมพันทางเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียง สำหรับพวกเขาแล้ว ยุทธการรบหู่เหลากวนที่หลี่ซื่อหมินเอาชนะกำลังกว่าแสนคนด้วยกำลังไม่ถึงหมื่นคน คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างแน่นอน

หลี่ซื่อหมิน (李世民) เป็น สามานยนามของ ถังไท่จง (唐太宗) พระจักรพรรดิพระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ถัง (คศ. 598-649) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ของถังเกาจู่ (唐高祖) หรือ หลี่เอียน (李渊) ในจำนวนพี่น้องชาย 4 คน หญิง 1 คน

หลี่ซื่อหมิน เกิดวันที่ 23 ม.ค. ค.ศ. 599 หรือในรัชสมัยสุยไคหวง (隋开皇) ปีที่ 18 ณ ที่ที่เป็นเจี้ยนจื่อโกวใต้ (建子沟村南) หมู่บ้านหลี่ไถ (李台) เขตหยางหลิง (杨陵区) มณฑลส่านซี (陕西省) ในปัจจุบันนี้ หลี่ซื่อหมินสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองต่างๆ ในบริเวณภาคเหนือของจีนปัจจุบัน พระมารดาเป็นลูกสาวของพี่สาวพระมเหสีของพระเจ้าสุย เหวินตี้ แซ่โต้ว (窦) ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งทางเหนือของจีนที่ไม่ใช่ฮั่น แม้แต่พระอัยยิกาก็มีเชื้อสายเป็นชนเผ่าที่ไม่ใช่ฮั่น ดังนั้น หลี่ซื่อหมินจึงมีสายเลือดฮั่นเพียง 25% และชนเผ่าถึง 75% ในสมัยที่หลี่ซื่อหมินยังเยาว์วัย หลี่เอียนมีตำแหน่งตามเมืองต่างๆ ภายใต้ราชวงศ์สุย หลี่เอียนได้หลานสาวของพระเจ้าสุยเหวินตี้มาก็ด้วยฝีมือการยิงธนูอันยอดเยี่ยม หลี่ซื่อหมินเองก็ชอบการยิงธนูมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อครั้งที่หลี่เอียนได้รับตำแหน่งในบริเวณชนเผ่า หลี่ซื่อหมินจึงมีความคุ้นเคยกับม้าเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ทั้งหมดในช่วงเยาว์วัยทำให้ หลี่ซื่อหมินเป็นผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในการรบบนหลังม้าและสร้างกองกำลังทหารม้าอันเกรียงไกร

ในประวัติศาสตร์จีน การรบแพ้ชนะตัดสินกันด้วยการ สามานยนามของกองทัพที่เป็นทหารราบทั้งสองฝ่ายในที่ราบขนาดใหญ่ จนกระทั่งถึงราชวงศ์โจว ต่อมาทหารม้าเริ่มมีการใช้ตั้งแต่สมัยชุนชิวจั้งกั๋ว (春秋战国) และมีบทบาทมากขึ้นๆ จนขึ้นสูงสุดครั้งแรกในยุคหลังสุมาอี้รวมจีนเป็นปึกแผ่นภายหลังสามก๊ก ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีการเรียนรู้จากชนกลุ่มน้อยนั่นเอง แล้วลดลงมาหลังจากนั้น แต่ยุคราชวงศ์ถังยังถือว่ามีการใช้พอสมควรและมีหน่วยงานที่เลี้ยงและจัดหาม้าโดยเฉพาะ ยุคนี้เลิกใช้เกราะเหล็กแต่เน้นให้มีความคล่องตัวแทน ในยุคราชวงศ์ซ่ง ทหารม้าจีนตกต่ำที่สุดเนื่องจากชนกลุ่มน้อยเรืองอำนาจและครอบครองแหล่งกำเนิดม้าที่สำคัญไว้ทั้งหมดในบริเวณมองโกเลียและมองโกเลียในปัจจุบัน การใช้ทหารม้าขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในยุคราชวงศ์หยวน เนื่องจากมีนักคิดยุทธวิธีของทหารม้าจำนวนมากมาย

หลี่ซื่อหมินเข้ารับราชการในกองทัพตั้งแต่อายุ 18 ปี และร่วมภารกิจในการช่วยพระเจ้าสุยหยางตี้ออกจากวงล้อมของชนเผ่าถูเจ้ (突厥) หลังจากนั้นได้ติดตามหลี่เอียนในการรบต่างๆ ในมณฑลซานซี ในปี คศ. 617 หลี่ซื่อหมินเป็นผู้ยุหลี่เอียนให้ทำการยึดอำนาจจากราชวงศ์สุย โดยได้รับมอบหมายให้นำกองทัพฝ่ายขวาบุกเข้าเมืองฉางอาน หลังจากนั้นพยายามบุกยึดเมืองลั่วหยาง (洛阳) จากราชวงศ์สุยแต่ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม หลี่เอียนได้สถาปนาราชวงศ์ถังและตั้งตนเป็นถังเกาจู่และหลี่ซื่อหมินยังคงเดินหน้าปราบปรามเจ้าเมืองต่างๆ เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นจนกระทั่งเหลืออยู่สามฝ่ายที่มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน อันได้แก่ ถัง (唐) มีเมืองหลวงที่ฉางอาน เจิ้ง (郑) มีเมืองหลวงที่ลั่วหยาง และ เสี้ย (夏) มีเมืองหลวง ที่ลั่วโจว

หู่เหลากวน (虎牢关) มีที่ตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน ห่างจากเมืองลั่วหยางไปทางตะวันออกประมาณ 100 กม. หรือห่างจากเจิ้งโจวไปทางตะวันตกประมาณ 50 กม. โดยตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำซื่อสุ่ย (汜水) ซึ่งไหลไปลงแม่น้ำฮวงโหทางทิศเหนือ

แม้กระนั้นก็ตาม หลี่ซื่อหมินเริ่มต้นด้วยการยึดเมืองฉือเจี้ยนทางตะวันตกของลั่วหยาง อู่เต๋อปีที่ 4 หลี่ซื่อหมินพร้อมด้วยนายทหารคู่ใจ 3 คน ใช้ทหารม้าฝีมือดีพันกว่าคน สวมชุดเกราะสีดำออกโจมตีข้าศึกจนเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึง ในการรบครั้งหนึ่ง หลี่ซื่อหมินพบกัหวังซื่อชงโดยตรง ได้สังหารและจับเป็นเชลยกว่า 6 พันคน จนหวังซื่อชงหนีเข้าเมืองลั่วหยางไป หวังเสียนอิ้งรัชทายาทของหวังซื่อชงลำเลียงเสบียงจากหู่เหลากวนมาที่ลั่วหยางก็ถูกกองกำลังของหลี่ซื่อหมินตีแตกพ่ายไป ในระหว่างการสร้างค่ายครั้งหนึ่ง หลี่ซื่อหมินถูกกองกำลังของฝ่ายแต้ซุ่มโจมตีที่ชิงเฉินกง (青城宫) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของลั่วหยาง หลี่ซื่อหมินพลัดหลงกับกองกำลังและตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกและม้าศึกซ่าลู่จื่อ (飒露紫) ต้องธนูเสียชีวิตจนเกือบเอาตัวไม่รอด แต่เดชะบุญ ได้คูสิงกงช่วยไว้โดยยิงธนูรวดเดียว 4 ดอกโดนทหารข้าศึกษาทั้ง 4 ดอกจนไม่กล้าติดตาม แล้วจึงสละม้าให้หลี่ซื่อหมิน ส่วนตนเองเดินนำหน้าตีฝ่าออกจากวงล้อมได้ แต่กองกำลังหวังซื่อชงยังคงติดตามต่อไป การรบระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินไปตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงเที่ยง ทั้งสองฝ่ายจึงเลิกรากันไป ฝ่ายหลี่ซื่อหมินสังหารและจับเป็นเชลยได้กว่า 7 พันคน หลังจากนั้นจึงนำกำลังเข้าล้อมเมืองลั่วหยางไว้

เนื่องจากเมืองลั่วหยาง เป็นเมืองหน้าด่านของฉางอานในสมัยราชวงศ์สุย ระบบการป้องกันจึงทำไว้อย่างแน่นหนามาก มีปืนใหญ่ที่สามารถยิงลูกหินหนัก 12.5 กก. ได้ไกลถึง 200 ม. มีเครื่องยิงธนูเป็นแผงได้ 8 เครื่อง ที่ยิงได้ไกลสุด 500 เมตร

หลี่ซื่อหมินพยายามโจมตีเมืองลั่วหยางครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเวลากว่า 10 วัน ก็ไม่ประสบความสำเร็จจนทหารทั้งหลายต่างเหนื่อยล้าไปตามๆ กัน ฝ่ายในเมืองลั่วหยางมีคนอยากยอมแพ้แต่ก็ถูกฆ่าเสียก่อน ฝ่ายหลี่ซื่อหมินก็มีคนแสดงความเห็นอยากจะเลิกทัพกลับแต่ก็ถูกคาดโทษว่าจะโดนตัดหัว

ต่อมา นายทหารผู้คุมกองกำลังของหลี่ซื่อชง ชื่อเสิ่นเย่ ขอสวามิภักดิ์โดยให้กำลังของถังโจมตีหู่เหลากวนและตนเองยอมแพ้ ฝ่ายถังจึงได้หู่เหลากวนมา

เมืองลั่วหยางถูกล้อมอยู่หลายเดือนจนขาดเสบียงเป็นอย่างมากจนผู้คนต้องกินรากไม้ใบไม้ประทังเป็นอาหาร บ้างก็เอาดินผสมเศษข้าวจนกระทั่งเป็นโรคและล้มตายไปจำนวนมาก ผู้คนจำนวน 3 หมื่นครัวเรือนลดเหลือ 3 พันครัวเรือน แม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ต้องลงมือเพาะปลูกเอง

ที่จริงแล้ว หวังซื่อชงได้ขอให้โต้วเจี้ยนเต๋อ (窦建德) แห่งแคว้นเสี้ยส่งกำลังมาช่วยตั้งแต่หลี่ซื่อหมินเริ่มโจมตีแคว้นแต้ ในปีอู่เต๋อที่ 3 แล้ว ในช่วงที่ลั่วหยางกำลังอดอยากในปีอู่เต๋อที่ 4 นี่เอง โต้วเจี้ยนเต๋อได้ส่งนายทหารคนสำคัญ เมิ่งไห่กงและฉือหยวนหมิงยกกำลังจากเฉาโจวไปช่วยหวังซื่อชงที่เมืองหัวโจว ส่วนตนเองก็ยกทัพยึดเมืองก่วนโจว ซิงหยาง หยางตี้ ตามลำดับ โดยมาทั้งทางบกและทางน้ำตามแม่น้ำฮวงโห กองกำลังของโต้วเจี้ยนเต๋อมีทั้งสิ้นกว่าแสนคนมาตั้งค่ายที่เมืองเฉินเกา (成皋) หรือ ทางตะวันออกของหู่เหลากวน นั่นเอง การยกกำลังมาในระหว่างที่ทั้งฝ่ายถังและแต้กำลังตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายนั้น ไม่ต้องบอกก็เห็นได้ชัดว่าโต้วเจี้ยนเต๋อกำลังแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่

ที่จริงแล้ว กองกำลังของถังและเสี้ยจะไม่เคยปะทะกันก็หาไม่ แต่ฝ่ายถังเป็นฝ่ายแพ้เสียส่วนใหญ่ เพียงแต่ฝ่ายเสี้ยยังไม่เคยปะทะโดยตรงกับกองทหารม้าชั้นเยี่ยมของหลี่ซื่อหมินเท่านั้น สภาพขวัญกำลังใจของกองทัพฝ่ายเสี้ยจึงดีเยี่ยมและดูแคลนไม่ได้ ความรู้สึกในกองกำลังฝ่ายถังที่ล้อมเมืองลั่วหยางจึงเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง

ฝ่ายหลี่ซื่อหมินเรียกประชุมแม่ทัพนายกองอย่างเร่งด่วนที่ชิงเฉินกงทางตะวันตกเฉียงเหนือของลั่วหยาง แม้ว่าจะมีนายทหารหลายคนเห็นควรถอยทัพไปตั้งหลัก แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่ากำลังส่วนใหญ่จะยังคงปิดล้อมลั่วหยาง ส่วนกองกำลังหลักชั้นเยี่ยมจะไปต้านกองทัพโต้วเจี้ยนเต๋อที่หู่เหลากวนโดยหลี่ซื่อหมินนำกองทหารม้าไปด้วยตนเองจำนวน 3,500 คนเพื่อหยุดกองทัพของโต้วเจี้ยนเต๋อไม่ให้เคลื่อนจากตะวันออกของหู่เหลากวนต่อไปทางตะวันตกถึงเมืองลั่วหยาง ณ จุดนี้ ก็ต้องชมเชยความบ้าบิ่นของหลี่ซื่อหมินที่หาญกล้านำ 3,500 คนสู้กับหนึ่งแสนกว่าคนของโต้วเจี้ยนเต๋อ ส่วนกำลังที่เหลือล้อมเมืองอยู่อาจจะมากกว่านี้เล็กน้อย แต่สองส่วนรวมกันก็เพียงไม่เกินหมื่นคน

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ถึงหู่เหลากวน หลี่ซื่อหมินนำกำลังทหารม้าห้าร้อยคนไปหยั่งดูค่ายของข้าศึกที่อยู่ห่างออกไป 10 กว่า กม. โดยทิ้งทหารไว้ตามรายทางให้ซุ่มเอาไว้ ส่วนตนเองมีทหารม้าคู่ใจและทหารม้าอื่นอีก 3 คน รวมทั้งสิ้น 5 คน ไปท้าทายที่หน้าค่ายของโต้วเจี้ยนเต๋อ พบกับทหารลาดตระเวนของฝ่ายข้าศึก จึงเข้าสู้ด้วย หลี่ซื่อหมินกับทหารคู่ใจต่างยิงธนูไปที่ข้าศึก ธนูทุกดอกจะต้องทหารข้าศึกตกม้าทุกครั้งไปจนทหารข้าศึกก็หวาดเกรง แต่ก็เสียดายโอกาสที่จะได้ตัวหลี่ซื่อหมินที่มากันเพียง 5 คน หลี่ซื่อหมินถอยพลางสู้พลางจนล่อให้ฝ่ายข้าศึก 5-6 พันคนเข้าสู่วงล้อมซุ่มโจมตีของฝ่ายตน จนสังหารข้าศึกได้กว่าสามร้อยคน แม้ว่าการรบครั้งนี้ถือเป็นส่วนปลีกย่อย แต่ก็เป็นสงครามจิตวิทยาที่ทำให้ฝ่ายข้าศึกหวั่นไหวเป็นอย่างมาก

กองกำลังของฝ่ายถังกับเสี้ยตั้งค่ายประจันหน้ากันกว่าหนึ่งเดือน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หลี่ซื่อหมินก็พยายามส่งทหารออกไปตัดกองลำเลียงเสบียงอาหารฝ่ายข้าศึก นักยุทธศาสตร์ของโต้วเจี้ยนเต๋อคนหนึ่งชื่อ หลิงจิ้น (凌敬) เสนอแนะให้เคลื่อนกำลังทั้งไปโจมตีบริเวณฝั่งเหนือของฮวงโห หลี่ซื่อหมินก็จะตกในที่นั่งลำบากด้วยกำลังคนเหนื่อยล้ามากและยังต้องไล่ตามไปป้องกันอีก วงล้อมเมืองลั่วหยางก็จะแก้ไขได้ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ

อีกหนึ่งเดือนต่อมา หลี่ซื่อหมินข้ามแม่น้ำฮวงโหไปทางฝั่งเหนือเพื่อลาดตระเวนหาข่าวพร้อมกับจงใจทิ้งม้าไว้ให้หากินหญ้าเอง โต้วเจี้ยนเต๋อเข้าใจว่าเสบียงหญ้าแห้งของฝ่ายถังหมดแล้ว วันรุ่งขึ้นกำลังของฝ่ายเสี้ยหลั่งไหลออกมาเต็มฝั่งตะวันออกของซื่อสู่ยตั้งกระบวนยาวเป็น 10 กม. หันหน้าเข้าหาค่ายหู่เหลากวน ฝ่ายหลี่ซื่อหมินขึ้นสังเกตการณ์จากที่สูงแล้วกล่าวแก่บรรดาขุนทหารว่า “กองทัพฝ่ายเสี้ยยังไม่ได้พบกับคู่ปรับที่แข็งแกร่งเลยตั้งแต่ออกจากแคว้นของตัวเอง ปัจจุบันแม้จะอยู่ในสภาวะที่อันตรายก็ยังไม่มีระเบียบวินัย ถ้าหากฝ่ายเราอยู่นิ่งเฉยเสีย บรรดาทหารที่ตั้งกระบวนเป็นเวลานานก็จะกระหายน้ำและหิวโหย เมื่อนั้น ถ้าเราเข้าตี ก็จะชนะได้โดยง่าย ข้าพเจ้าขอนัดหมายไว้กับแม่ทัพทั้งหลายว่าเมื่อถึงเที่ยงให้ส่งสัญญาณเข้าตีพร้อมกัน”

ครั้นพอถึงเที่ยงวัน ทหารฝ่ายเสี้ยต่างกระหายน้ำและแย่งกันดื่มน้ำตามคาด หลี่ซื่อหมินจึงส่งทหารข้ามซื่อสู่ยไปทางตะวันออกเข้าตีกองกำลังฝ่ายเสี้ยทันที เมื่อทหารม้าฝ่ายถังบุกเข้าประชิดทันทีทันใด ข้าราชการฝ่ายเสี้ยต่างก็ตกใจไม่เป็นกระบวน ทหารม้าฝ่ายเสี้ยก็ไม่อาจเข้าสกัดกั้นทหารม้าฝ่ายถังด้วยข้าราชการคั่นอยู่ ทหารม้าฝ่ายถังจึงเข้าประชิดถึงตัวโต้วเจี้ยนเต๋อได้โดยง่าย ทหารฝ่ายถังเข้าโจมตีที่จุดใดฝ่ายเสี้ยก็แตกซ่านไม่เป็นกระบวน ทหารม้าฝ่ายถังบุกจากด้านหน้าถึงด้านหลังของกองทัพฝ่ายเสี้ยไปกลับหลายรอบ กองกำลังที่หลี่ซื่อหมินนำเองบุกไล่เป็นระยะกว่า 10 กม. และสังหารข้าศึกไปกว่า 3 พันคน ในที่สุดโต้วเจี้ยนเต๋อถูกหอกแทงได้รับบาดเจ็บและถูกจับได้ แม้ว่าฝ่ายถังจะจับเชลยได้อีกกว่า 5 หมื่นคน แต่ก็ปล่อยให้กลับบ้านหมดในวันนั้นเอง

หลังจากนั้น หลี่ซื่อหมินนำตัวโต้วเจี้ยนเต๋อและแม่ทัพอีกหลายคนไปแสดงตัวที่หน้าเมืองลั่วหยาง หวังซื่อชงเห็นเข้าก็ยอมแพ้และมอบตัวแต่โดยดี การศึกครั้งนี้ รวมเวลาตั้งแต่เดือนยี่ไปจนถึงเดือนห้า ทั้งสิ้นเพียง 3 เดือน หลี่ซื่อหมินสามารถรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นได้ อีกห้าปีต่อมา ปีอู่เต๋อที่ 9 หรือ ศ.ศ. 626 หลี่ซื่อหมินก่อการสังหารพี่ชายคนโต ซึ่งเป็นรัชทายาทในขณะนั้น เรียกว่า “เสียนอู่เหมินจือเปี้ยน” (玄武门之变) และยังบังคับให้พระเจ้าถังเกาจู่สละราชสมบัติและตนเองสถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าถังไท่จง พระจักรพรรดิองค์ที่สองแห่งราชวงศ์ถัง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถทั้งการรบและศิลปกรรม ลายมือพู่กันจีนของพระองค์เป็นที่ยกย่องเป็นอย่างมากและเป็นโบราณวัตถุที่ผู้สะสมแสวงหาเป็นอย่างมาก พระองค์ยังได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนาจนเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สืบเนื่องจากที่พระองค์มีเชื้อสายชนเผ่ากลุ่มน้อยถึง 75% พระองค์จึงเน้นในเรื่องสิทธิที่เท่าเทียมกันระหว่างทุกชนเผ่าจนเป็นรัชสมัยที่ทุกชนเผ่าอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข