"สี่แยกอินโดจีน"ศูนย์กลางเชื่อมโยงโอกาสในอาเซียน (1)

"สี่แยกอินโดจีน"ศูนย์กลางเชื่อมโยงโอกาสในอาเซียน (1)

ศูนย์กลางเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจแห่งโอกาส

การเป็นตลาดเดียว และฐานการผลิตร่วม ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 จะนำความเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่เป็นโอกาสของผู้ที่มีความพร้อม และมีความสามารถในการแข่งขัน

ในส่วนของประเทศไทยซึ่งมีภูมิศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางของคาบสมุทรอินโดจีน (IndochinaPeninsula) ไทยจึงมีความได้เปรียบประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ในด้านของการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคอาเซียนเชื่อมโยงเศรษฐกิจจีน (ประชากร 1.34 พันล้านคน) และอินเดีย (ประชากร 1.24 พันล้านคน) ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่

หากแต่ประเทศไทยจะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างประเทศ ปรับปรุงถนนและพัฒนาการขนส่งทางรถไฟ ซึ่งจะช่วยกระจายความเจริญไปยังภูมิภาค สู่พื้นที่บริเวณแนวเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศตามระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออกตะวันตก (East-West Economic Corridor) เชื่อมโยงระหว่างเมืองเมาะละแหม่ง ประเทศเมียนมาร์ผ่านแม่สอด ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร สะหวันนะเขต สปป.ลาว และสิ้นสุดที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม และระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) เชื่อมโยงระหว่างนครคุนหมิง ประเทศจีน ผ่านเชียงรายที่อำเภอแม่สายและเชียงของ และไปสิ้นสุดที่กรุงเทพมหานคร

โดยระเบียงเศรษฐกิจในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 2 เส้นทาง ดังกล่าวมีจุดตัดในประเทศไทย ที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดตากเป็นศูนย์กลางภูมิศาสตร์ที่เรียกว่า “สี่แยกอินโดจีน” ที่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะโอกาสของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ทำให้เกิดพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ ที่กระทรวงคมนาคมได้กำหนดให้เป็น เมืองหลักหรือเมืองที่เป็น ศูนย์กลางในปัจจุบัน คือ จังหวัดพิษณุโลกและนครสวรรค์เมืองประตูการค้าชายแดน (Gateway) คือ จังหวัดตากและเมืองระดับรองซึ่งมีประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์

ศูนย์กลางโลจิสติกส์และโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง

จังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางบริการโลจิสติกส์ และโครงข่ายการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ตามแนวเส้นทางสาย R2 ซึ่งเมียนมาร์-ไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม และเส้นทางสาย R3E เชื่อมโยง ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ และเส้นทางสาย R3W เชื่อมโยง ไทย-เมียนมาร์-จีนตอนใต้

ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางจะมีจุดตัดที่สี่แยกอินโดจีน บริเวณจุดตัดของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 (ช่วงพิษณุโลก-อุตรดิตถ์) กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 และถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลกด้านใต้ (ที่ตำบลสมอแข อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก) เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าในภูมิภาคอาเซียนโดยผ่านทางด่านการค้าชายแดนสำคัญต่างๆ ได้แก่ ด่านแม่สอด ด่านมุกดาหาร ด่านเชียงของ และด่านเชียงแสน

หอการค้าจังหวัดพิษณุโลกได้เสนอให้มีการพัฒนาศูนย์บริการขนส่งผู้โดยสาร (Bus Terminal) และศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ไปตามภูมิภาคต่างๆ เนื่องจากเป็นจุดที่ติดต่อกับทั้ง ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multi Modal Transportation) โดยพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างรถไฟและรถบรรทุก (Inter-Modal Trans ShipmentFaclility) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งสินค้าเพื่อการส่งออก

ศักยภาพในด้านการทำธุรกิจค้าชายแดน

ภาคเหนือตอนล่าง 1 มีชายแดน 3 จังหวัด (จังหวัดตาก อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก) ระยะทางรวม 689 กิโลเมตร ติดต่อประเทศ เมียนมาร์ และ สปป.ลาว ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโต จึงมีศักยภาพในการทำธุรกิจค้าชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด่านแม่สอด (จังหวัดตาก) และด่านภูดู่ (จังหวัดอุตรดิตถ์)

(1) ด่านแม่สอด (อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก)

แนวเขตติดต่อกับเมืองเมียวดีรัฐกะเหรี่ยง (ประชากร 1.43 ล้านคน) ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงเก่าอย่างย่างกุ้ง (ประชากร 5.42 ล้านคน) และมีเส้นทางเชื่อมโยงไปสู่มัณฑะเลย์ (ประชากร 6.44 ล้านคน) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางกระจายสินค้าสามเหลี่ยมเศรษฐกิจที่เป็นจุดหมายของสินค้าจากไทยจีนและอินเดียก่อนจะถูกกระจายต่อไปยังเมืองอื่นๆ ของเมียนมาร์

การค้าระหว่างไทยและเมียนมาร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2556 มีมูลค่าการค้าชายแดน 196,866 ล้านบาท แต่ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะการค้าชายแดนผ่านด่านแม่สอด ซึ่งมีสัดส่วนถึง 23.52% ของมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมาร์โดยในปี 2556 ด่านแม่สอดมีมูลค่าการค้ารวม 46,309 ล้านบาทจำแนกเป็นการส่งออกชายแดน 43,668 ล้านบาท และนำเข้าชายแดน 2,641 ล้านบาท มูลค่าการค้าชายแดนด่านแม่สอดเกินดุลกว่า 40,000 ล้านบาท

สินค้าที่ส่งออกผ่านด่านแม่สอด มีทั้งสินค้าอุปโภคบริโภครวมถึงสินค้าประเภทอุตสาหกรรมและสินค้าจำพวกวัสดุก่อสร้าง โดยในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ตุลาคม 2556-กรกฎาคม 2557 สินค้าส่งออกชายแดนไทย-เมียนมาร์ 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

อีกทั้ง อำเภอแม่สอด คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ทั้งในเชิงความมั่นคงและเศรษฐกิจ เป็นจุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับอนุภูมิภาค เป็นแหล่งทรัพยากร มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านสำหรับรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมแม่สอดจึงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาไปสู่การเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอำเภอแม่สอดไปสู่การเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ หอการค้าจังหวัดตากจึงได้เสนอให้มีการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ 2 (กำลังทำการศึกษาพื้นที่เหมาะสมที่หมู่บ้านวังตะเคียน ตำบลท่าสายลวด) พร้อมกับเสนอให้จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) และการสร้างอุโมงค์จากจังหวัดตากมายังแม่สอดเพื่อร่นระยะเวลาการเดินทางจาก 80 กิโลเมตรให้เหลือเพียง 50 กิโลเมตร

รวมทั้ง สนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เข้าไปค้าขาย-ลงทุนในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังขยายตัวเป็นอย่างมาก จึงมีความต้องการสินค้าที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวแม่สอด มะละแหม่ง พระธาตุอินทร์แขวน หงสาวดีย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ

(2) ด่านภูดู่ (ตำบลม่วงเจ็ดต้น อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์)

จากจุดผ่อนปรนได้รับการยกระดับให้เป็นด่านชายแดนถาวร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2556 การค้าชายแดนผ่านด่านภูดู่ในปีแรกของการเปิดด่านมีมูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท

โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมัน, เชื้อเพลิง-หล่อลื่น, สินค้าอุปโภค-บริโภคผลไม้ อาหารสด-แห้งส่วนสินค้านำเข้าได้แก่ ข้าวโพด, ข้าวสาร, เศษเหล็กและสินค้าทางการเกษตร ทั้งยังมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทาง เข้า-ออก ผ่านด่านปีละประมาณ 100,000 คน

หากไทยและ สปป.ลาว มีความร่วมมือในการยกระดับด่านผาแก้ว เมืองปากลาย แขวงไชยบุรี ซึ่งเป็นเพียงด่านท้องถิ่น ให้เป็นด่านในระดับเดียวกับด่านภูดู่ได้ ตลอดจนพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อไปยังเมืองไชยบุรี (ประชากร 382,200 คน) และเมืองหลวงพระบาง (ประชากร 408,800 คน) จะช่วยอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบ การส่งออกสินค้า และการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันให้สะดวกรวดเร็ว ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมาก

ทั้งนี้ หอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์ ประเมินว่า หากมีการพัฒนาด่านภูดู่-ด่านผาแก้วโดยต่อเนื่อง มูลค่าการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวผ่านด่านในอนาคตจะเพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท