อย่าโลกสวยอย่างเดียว!!!

อย่าโลกสวยอย่างเดียว!!!

ชื่อบทความอาจจะดูน่ากลัวนะครับ แต่จริงๆ แล้วเนื้อหาในสัปดาห์นี้จะเกี่ยวข้องกับคนสองกลุ่มคือพวกโลกสวย

หรือ ถ้าเรียกอย่างเป็นทางการคือผู้ที่มองโลกในแง่ดี หรือ Optimism กับอีกกลุ่มคือพวกที่มองโลกในแง่ร้าย หรือ เรียกว่า Pessimism ซึ่งในช่วงหลังงานวิจัยและค้นคว้าต่างๆ ก็ดูเหมือนจะชี้ออกมาในทางเดียวกันว่าถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่มีความสุขจะต้องเป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี มองโลกให้สวยงาม ฯลฯ ถึงขั้นที่มีการศึกษาที่เรียกว่า Positive Psychology ที่เป็นการศึกษาว่าจะทำให้คนมีความสุขได้อย่างไร การที่คนมองสิ่งต่างๆ รอบตัวในแง่บวกนั้นจะทำให้ผลการทำงานดีขึ้น สุขภาพกาย สุขภาพใจดีขึ้น ฯลฯ

อย่างไรก็ดี เริ่มมีงานวิจัยอีกฝั่งหนึ่งที่ชี้ออกมาในทางตรงกันข้าม โดยมีงานตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Psychology and Aging ที่รายงานผลการวิจัยว่าผู้สูงวัยที่มีมุมมองต่ออนาคตในด้านลบหรือพวกที่มองโลกในแง่ร้ายจะมีอายุยืนยาวกว่าพวกที่มองโลกสวย ในขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยอีกชิ้นที่พบว่าโอกาสในการมีอายุยืนนานหรือมีสุขภาพที่ดีจะเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 10 สำหรับพวกที่มองโลกในแง่ร้าย และมีงานวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาและติดตามชีวิตคนพันกว่าคนตั้งแต่เด็กจนโตและพบว่าสำหรับคนที่เสียชีวิตตั้งแต่เด็กๆ นั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นพวกโลกสวย ในขณะเด็กที่เป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายนั้นมักจะมีอายุที่ยืนยาวกว่า

จริงๆ แล้วการที่พวกมองโลกในแง่ร้ายมีอายุยืนยาวกว่าพวกโลกสวยนั้นก็ไม่น่าแปลกใจนะครับเนื่องจากพวกมองโลกในแง่ร้ายนั้น จะคิดในแง่ลบหรือแง่ไม่ดีไว้ก่อน ดังนั้น เมื่อมองไปในอนาคตก็จะต้องมีการเตรียมพร้อมในด้านต่างๆ ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายไว้ตั้งแต่ช่วงหนุ่มสาว หรือ การรักษาสุขภาพให้ดีไว้ตั้งแต่ยังไม่สูงวัย เช่น การเลือกที่จะไม่รับประทานของอ้วน ของมัน ของที่มีน้ำตาลสูง แต่สำหรับพวกมองโลกสวยนั้นมักจะไม่ค่อยคิดถึงผลเสียของข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ หรือ ฝอยทอง เท่าไร

สำหรับกรณีของเด็กโลกสวยที่เสียชีวิตก่อนก็เช่นเดียวกันครับ เพราะพวกโลกสวยนั้นจะกล้าที่จะเสี่ยงในการเล่นหรือลองในสิ่งที่ผาดโผนกว่าพวกเด็กที่มองโลกในแง่ร้ายและคอยระมัดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ฝั่งนิยมด้านลบ (บางคนบอกว่าไม่ได้เป็นการมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการมองโดยอาศัยพื้นฐานของความเป็นจริง) ก็มักจะบอกว่าถ้ามัวแต่โลกสวย ก็จะไม่คิดเผื่อ ไม่คิดระวัง ไม่มีการเตรียมพร้อม เตรียมตัวที่ดี แล้วถ้าสถานการณ์มันไม่ได้ออกมาสวยงามเหมือนที่พวกโลกสวยมองไว้ ก็จะขาดการเตรียมพร้อมที่ดี

จริงๆ แล้วคงยากที่จะชี้ลงไปว่าใครคนไหนเป็นพวกโลกสวย หรือ คนไหนเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย เพราะถ้าจะเปรียบพวกโลกสวยเป็นฝั่งหนึ่ง พวกมองโลกในแง่ร้ายเป็นอีกฝั่ง คนเราแต่ละคนก็มักจะตกอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝั่ง และจริงๆ แล้วทั้งการมองโลกในแง่ดี และมองโลกในแง่ร้ายก็มีข้อดีและข้อเสียของตนเอง คนแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเลือกเป็นด้านใดด้านหนึ่งเสมอไป

บางคนชอบใช้กลยุทธ์ Defensive Pessimism ในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นหรือที่คาดเดาไม่ได้ โดยกลยุทธ์นี้คือการตั้งความคาดหวังไว้ต่ำๆ และพยายามคิดถึงในด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ก่อน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวป้องกันหรือระวังได้ เช่น ถ้าท่านต้องเตรียมนำเสนองานให้กับเจ้านาย ก็อาจจะซ้อมแล้วซ้อมอีกเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ในขณะเดียวกันก็พยายามคิดคำถามที่เจ้านายจะถามไว้ให้หมด เพื่อที่จะได้มีคำตอบสำหรับตอบ

ขณะเดียวกันบางคนก็ใช้อีกกลยุทธ์ที่ตรงกันข้ามที่เรียกว่า Strategic Optimism ที่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นหรือคาดเดายาก ก็จะพยายามดึงดูดความสนใจของตัวเองไปสู่เรื่องอื่นๆ เพื่อไม่ให้คิดถึงสถานการณ์นั้นแล้วเกิดความไม่สบายใจ

มีอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจคือ แทนที่เราจะเลือกเป็นด้านใดด้านหนึ่ง เราสามารถที่จะสร้างความสมดุลระหว่างการมองโลกในแง่ดี กับ การมองโลกในแง่ร้ายไว้ได้หรือไม่? การสร้างความสมดุลดังกล่าว จะทำให้เราสามารถเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป บางสถานการณ์อาจจะต้องอาศัยพวกโลกสวยในตัวเรา แต่ในบางสถานการณ์อาจจะต้องหัดมองโลกในแง่ร้ายบ้าง

อย่างไรก็ดี การสร้างความสมดุลในการมองโลกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นลักษณะแบบ 50-50 นะครับ ถ้าให้สอดคล้องกับยุคสุขนิยมในปัจจุบันก็อาจจะให้ในตัวเราเป็นพวกโลกสวยมากหน่อย เช่น ประมาณ 60-40 หรือ 70-30 ก็ได้ครับ