Role Model (1)

Role Model (1)

ศุลีพรเงยหน้าขึ้นมองภาพพระบรมฉายาลักษณ์บนผนังห้อง ‘ผู้จัดการฝ่ายบุคคลฯ’ ที่เธอเพิ่งย้าย เข้ามานั่ง แม้จะเป็นสมาชิกใหม่สำหรับที่นี่ แต่ภาพดังกล่าวติดตามเธอมาแล้วหลายต่อหลายองค์กร

ผู้อยู่ในภาพนั้นยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่เขียนด้านล่างมีความหมายกับศุลีพรยิ่งกว่า

“ข้าราชการมีหน้าที่สำคัญส่วนหนึ่ง ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลทั้งปวง ด้วยความสุจริตจริงใจ วางตัวให้พอเหมาะพอสมกับฐานะตำแหน่ง พร้อมกับรักษาความสุภาพอ่อนโยนไว้ให้เหนียวแน่นสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ยังจะต้องมีความเสียสละ อดทน รู้จักเกรงใจ ให้อภัย ทั้งโอนอ่อนผ่อนตามกันและกันด้วยเหตุผล และสำคัญที่สุด จะต้องหัดทำใจให้กว้างขวางหนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดความเห็นแม้กระทั่งคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดนั้นแท้จริงคือ การระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลายหลาก มาอำนวยประโยชน์ในการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง

พระบรมราโชวาท ปีพุทธศักราช ๒๕๓๖

เธอยังคงรู้สึกขอบคุณผู้ที่มอบภาพนี้ให้เสมอ และนำมาใช้เป็นหลักปฎิบัติในการบริหารจัดการตลอด 35 ปีที่ผ่านมา

อีกไม่ถึงสิบนาทีจะเป็นการประชุมครั้งแรกอย่างเป็นทางการของเธอกับสมาชิกในทีม ศุลีพรไปถึงห้องประชุมก่อนเวลาห้านาทีตามที่เคยทำจนเป็นนิสัย เธอประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นห้องว่างเปล่า

“อ้าว... ตายล่ะ ยังไม่มีคนมาเลยนี่” เสียงอุทานของผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงคุยโทรศัพท์ดังอยู่หน้าห้องเพื่อตามหาสมาชิกที่ต้องเข้าร่วมประชุม บนความหงุดหงิดศุลีพรอดขำไม่ได้เพราะเธอมั่นใจว่าเธอ ‘มาแล้ว’ และค่อนข้างมั่นใจว่าเธอก็ ‘เป็นคน’

15 นาทีหลังจากนั้นศุลีพรจึงได้เริ่ม

“สวัสดีค่ะทุกคน ดิฉันชื่อศุลีพรอย่างที่หลายท่านคงทราบแล้ว ดิฉันจะมาดูแลฝ่ายบุคคลของเรา แทนคุณวันดีที่เพิ่งเกษียณไป วันนี้จึงขอเชิญทุกคนมาร่วมประชุมกัน มีวาระสำคัญอยู่สามเรื่อง แต่ก่อนเริ่ม ดิฉันอยากบอกกติกาในการประชุมสั้นๆ...”

“หนึ่ง... ดิฉันอยากเริ่มประชุมตรงเวลาเพราะอยากเลิกประชุมตรงเวลา เดี๋ยวจะต้องเข้าอีกประชุมหนึ่ง ก่อนจะเขียนโครงการที่ร่างไว้ให้จบ ถ้าช้าจากประชุมนี้ก็จะช้าต่อไปเป็นลูกโซ่ สุดท้ายจะไป รับลูกที่โรงเรียนไม่ทัน เชื่อว่าทุกคนก็คงมีเรื่องอื่นๆ ที่วางแผนไว้ และอยากเลิกตรงเวลาเช่นเดียวกัน ใช่ไหมคะ?” ศุลีพรกวาดตาไปรอบห้องเพื่อดูปฏิกริยาอดสังเกตเห็นสองสามคนด้านหลัง ที่กระซิบกระซาบ อะไรกันไม่ได้

“สอง... ดิฉันอยากให้การประชุมเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกัน เพราะถ้าเราเห็นตรงกันหมด ก็ไม่ต้องประชุม ใช้ส่งอีเมล์แทนได้ ดังนั้นหากใครมีเรื่องอะไรอยากพูด ขอให้พูดได้อย่างเปิดเผย ในห้องนี้ ตราบที่อยู่บนการรักษาสิทธิ์ตนเอง และเคารพสิทธิ์ผู้อื่น เช่น ไม่เอาเรื่องที่คุยกันใน ที่นี้ไปคุยต่อนอกห้อง หรือคุยแทรกระหว่างการประชุม” คราวนี้ห้องเงียบกริบ

“ด้านหลังมีอะไรไหมคะ?” เธอถามตรงๆเมื่อสังเกตเห็นหนึ่งในสองขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด

“เปล่าค่ะ... แค่ได้ยินคุณพูดว่าอยากให้ตรงเวลา เราเลยคุยกันว่า สมัยก่อนคนที่ตรงเวลา ต้องมานั่งคอยคนที่มาสาย ก็เลยกลายเป็นนิสัยที่ไม่มีใครมาตรงเวลา” คนพูดตอบเสียงกล้าๆ กลัว

ศุลีพรรับรู้ถึงเส้นบางๆ ที่ยังคั่นความไว้วางใจผ่านสรรพนาม ‘คุณ’ มิใช่พี่หรือหัวหน้า เธอจึงเลือกจะ เริ่มสานไมตรีก่อน

“ขอบคุณค่ะที่ตอบตรงๆ พี่อยากให้เราทำงานกันแบบนี้ ไม่ต้องกลัวหากมีความเห็นที่อยากพูด ตราบใดที่ผู้ฟังรู้สึกว่าได้รับการให้เกียรติ...” เธอเน้นคำว่า ‘พี่’ และเจตนาพูดกว้างๆ ให้สาส์นไปถึงทุกคนในห้อง

“...งั้นกติกาข้อสาม ดิฉันอยากให้พวกเราทุกคนทำงานโดยคิดถึงประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก ทีมมาก่อนตัวเองเสมอ เมื่อใดที่ใครในฝ่ายเราเผลอลืมนึกถึงเรื่องนี้ อยากให้คนอื่นๆ เตือนสติกันได้ อย่างเช่นเมื่อสักครู่ที่น้อง...?” เธอทอดเสียงเชิงคำถาม และเจ้าตัวก็ตอบสนองแสดงว่าตั้งใจฟังอยู่ “...ปิ่นค่ะ”

“ขอบคุณค่ะปิ่น... อย่างที่น้องปิ่นตั้งข้อสังเกตเมื่อสักครู่ ทำให้พี่คิดได้ว่าการที่คนขององค์กร เอาเวลาขององค์กรมานั่งเสียเวลารอคนอื่นๆ ที่มาสาย ผิดทั้งข้อการรักษาเวลา และข้อการคิดถึงประโยชน์ขององค์กร งั้นสำหรับทีมของเรา เมื่อถึงเวลานัดหมายขอให้ การประชุมเริ่มได้เลย ไม่ว่าสมาชิกจะมากี่คนก็ตาม เริ่มตรงเวลา เลิกตรงเวลา”

ศุลีพรมองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกยินดีที่เห็นแววตาเป็นมิตรมากขึ้นของสมาชิกในทีมใหม่ของเธอ โดยเฉพาะจากรุ่นน้องๆ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)