ปัญหาหนี้ของสหรัฐอเมริกายังไม่จบ

แม้ว่าในที่สุดแล้วสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาจะบรรลุข้อตกลงแบบจำยอมในการขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางจากกำหนดเส้นตายวันที่ 17 ตุลาคมนี้ออกไป
เป็นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2014 ทำให้รัฐบาลสหรัฐรอดพ้นจากภาวะการผิดนัดชำระหนี้ได้อย่างเฉียดฉิว แต่อย่างไรก็ตามก็ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างใหญ่หลวง ที่สร้างความไม่แน่นอนหรือความไม่มั่นใจต่อนักลงทุนในการที่จะถือตราสารหนี้หรือหลักๆ คือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต
แม้ว่ารัฐบาลกลางจะได้รับไฟเขียวให้สามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้ และมีการเปิดหน่วยงานภาครัฐที่ปิดไปบางส่วน (Government Dutdown) ที่ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐถูกเลิกจ้างไปจำนวนประมาณ 800,000 คนไปเป็นเวลา 16 วัน แต่การบรรลุข้อตกลงได้นั่นเป็นเพราะว่าได้เกิดวิกฤติหนี้ที่กำลังจะเกิดภาวะผิดนัดชำระหนี้ และมีการยึดเอาประชาชนและเจ้าหน้าที่ของภาครัฐเป็นตัวประกัน แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดการยืดขยายเพดานหนี้ออกไปเป็นต้นปีหน้า เป็นเพียงการยืดหรือประวิงปัญหาออกไปเป็นการชั่วคราวเท่านั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดภาวะวิกฤติหนี้สาธารณะขึ้นได้อีกในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นระยะเวลาอีกเพียงประมาณ 3 เดือนข้างหน้าเท่านั้นเอง
การแก้ไขปัญหาให้จบไปนั้นต้องอยู่ที่การแก้ไขที่รากฐานของปัญหาหนี้ คือ การใช้จ่ายเกินตัวที่สะสมจนทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงจุดที่เป็นอันตราย เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเผชิญกับการขาดดุลแฝด ทั้งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้า+ดุลบริการ) และการขาดดุลการคลัง เป็นการใช้จ่ายเกินตัวของทั้งภาครัฐบาลและประชาชน การแก้ไขปัญหาหนี้ที่จะได้ผลจึงอยู่ที่การจะปรับลดการใช้จ่ายเกินตัวให้ลดลงได้อย่างไร ก็คือต้องหารายได้เพิ่มควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำและมีความมุ่งมั่นในการทำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าหากสหรัฐอเมริกาจะต้องกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในการจุนเจือการขาดดุลการคลังโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จะมีผู้ที่สนใจหรือต้องการถือครองพันธบัตรรัฐบาลอีกต่อไปหรือไม่
ทั้งนี้ ผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐนั้น มีทั้งประชาชนชาวอเมริกา กองทุนประกันสังคม สถาบันการเงิน ตลอดจนรัฐบาลกลางของประเทศต่างๆ ที่ถือพันธบัตรรัฐบาลกลางสหรัฐไว้สำหรับเป็นเงินกองทุน หรือทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ สำหรับประเทศที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐอเมริกาสูงสุดคือ รัฐบาลจีน ที่ ณ เดือนกรกฎาคม 2013 นี้ถือครองพันธบัตรสหรัฐอเมริกาจำนวนสูงถึง 1.28 ล้านล้านดอลลาร์ ลำดับสองคือ ญี่ปุ่น 1.14 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งประเทศเหล่านี้เองก็ตระหนักถึงความเสี่ยงในการถือครองพันธบัตรสหรัฐอเมริกานี้เช่นกัน แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนักเนื่องจากประเทศเหล่านี้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดกับสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก ทำให้มีรายได้เงินดอลลาร์เข้าสู่ประเทศจำนวนมหาศาลในแต่ละปี แต่การถือครองเงินสกุลดอลลาร์ไม่ทำให้เกิดรายได้และยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าลงไป จึงต้องนำเงินไปลงทุนเป็นพันธบัตรแทน และอีกประการคือไม่มีทางเลือกมากนักในการที่จะไปถือครองพันธบัตรของสกุลเงินอื่นๆ เพราะยังไม่มีตลาดเงินสกุลใดที่มีขนาดใหญ่และมีความมั่นคงสูงเพียงพอสำหรับรองรับได้
จากวิกฤติหนี้ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่รัฐบาลไทย ที่มีการใช้จ่ายเกินตัวและทำให้หนี้สาธารณะไปปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลา 2 ปีในการบริหารประเทศ ทั้งนี้ ประกาศตัวเลขล่าสุดเดือนสิงหาคมของสำนักงานบริหารหนี้ ปรากฏว่าหนี้สาธารณะคงค้างมียอดจำนวน 5.300 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.6 ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (กรกฎาคม 2556) ถึง 74,236 ล้านบาท และหากเทียบกับเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว เพิ่มขึ้นถึง 1.1 ล้านล้านบาท ยอดหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2554 มีจำนวน 4.269 ล้านล้านบาท และมีสัดส่วนร้อยละ 40.22 ของ GDP ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งขนาดจำนวนหนี้ และ สัดส่วนต่อ GDP
หนี้สาธารณะที่รัฐบาลก่อขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมาจากโครงการประชานิยม ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถคันแรก โครงการรับจำนำข้าวที่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครรู้ว่ายอดขาดทุนที่แท้จริง เพราะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขมีเพียงตัวเลขจากคณะอนุกรรมการติดตามผลโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ที่เปิดเผยผลการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต (2554/2554) ที่มีผลดำเนินงานขาดทุน 136,000 ล้านบาท และนักวิชาการได้มีคาดการณ์ว่าผลการดำเนินในรอบสองปีนั้นจะมีผลขาดทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเงินกองทุนประเภทต่างๆ อยู่อีกจำนวนมาก ซึ่งต้องยอมรับว่าโครงการประชานิยมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนไทยและสังคมไทยเข้มแข็งขึ้น ในทางตรงข้ามกลับทำให้ประเทศอ่อนแอลงและคนจะอยู่ด้วยการแบมือรอคอยเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ จึงเป็นความสุ่มเสี่ยงของประเทศไทยและอนาคตของคนรุ่นลูกหลานของพวกเราและต่างกลับที่เคยโจมตีรัฐบาลก่อนว่าเก่งแต่ก่อหนี้







