กัญชากำลังน่ารักขึ้น

กัญชากำลังน่ารักขึ้น

กัญชาครั้งหนึ่งเป็นยาเสพติดที่มีโทษอาญา แต่ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่ผ่านมาประชาชนในหลายประเทศดูจะเป็นมิตรกับกัญชามากขึ้นทุกที

ในเวลาอันใกล้การปลูกและการเสพกัญชาจะเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้เพราะเหตุผลว่ามียาเสพติดอีกหลายอย่างที่ร้ายแรงกว่าที่ต้องปราบปราม

ในปี 1971 สหรัฐอเมริกาแข็งขันอย่างมากในการเป็นผู้นำปราบปรามยาเสพติดของโลกโดยรวมทั้งกัญชาด้วย ถึงแม้กัญชาจะไม่ใช่ยาเสพติดที่ร้ายแรงก็ตาม อย่างไรก็ดี นับแต่ 1980 เป็นต้นมา กระแสความคิดในเรื่องการต่อต้านกัญชาได้พลิกผัน

ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ในอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์มีการอนุญาตให้มีร้านสำหรับสูบใบกระท่อมและกัญชา ในปี 2001 โปรตุเกสลดโทษการเสพกัญชาจากต้องโดนฟ้องศาลลงมาเป็นค่าปรับ (decriminalize) และบางภาคของสเปนยอมให้มีคลับเสพกัญชาเมื่อ 2-3 ปีก่อน

ก่อนปลายทศวรรษ 1920 การครอบครองกัญชาหรือเสพไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใดในประเทศส่วนใหญ่ และต่อมางานวิจัยทางการแพทย์พบประโยชน์ของกัญชาว่า cannabis หรือ marijuana หรือ pot นี้มีสาร THC ซึ่งสามารถช่วยลดความเจ็บปวดของคนไข้ได้เป็นอย่างดีในราคาถูก

ในทศวรรษ 1960 และ 1970 การเสพกัญชาเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษา ฮิปปี้ และคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี ทั้งการครอบครองและการเสพนั้น ผิดกฎหมายจนอาจติดคุกได้และมีการบันทึกลงประวัติ หากใครถูกบันทึกชื่อก็เรียกได้ว่าแทบหมดอนาคต

กัญชาเป็นไม้ล้มลุกมี 3 พันธุ์ คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis ruderalis ทั้งหมดเป็นไม้พื้นเมืองของเอเชียกลางและเอเชียใต้ คนไทยเสพกัญชากันมานานหลายร้อยปี โดยเฉพาะเอาใบมาทำอาหาร เพราะช่วยให้ลิ้นรับรสอาหารได้ดีขึ้น

ตลอดเวลา 30 ปี ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดของโลกในการต่อต้านกัญชาได้อ่อนพลังลงเป็นลำดับ หลายรัฐยอมให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ลดโทษจากถูกฟ้องร้องเป็นจ่ายค่าปรับ รัฐโคโลราโดเป็นแห่งแรกของโลกในปี 2013 ที่การเสพกัญชาของผู้ใหญ่เพื่อการบันเทิงไม่ผิดกฎหมาย และต่อมารัฐวอชิงตันก็เดินตามรอยเดียวกัน อย่างไรก็ดี มีอีกหลายรัฐที่ยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่อันตราย การสำรวจเมื่อปลายปี 2012 พบว่าคนอเมริกันอายุ 18-29 ปี จำนวน 60% เห็นว่ากัญชาควรถูกกฎหมาย ส่วนในช่วงอายุ 30-64 ปี มีจำนวน 48% และอายุ 65 ปี ขึ้นไปมีจำนวนร้อยละ 30

คนจำนวนมากเห็นว่าการเสพกัญชาเป็นเรื่องของความบันเทิงเหมือนการสูบบุหรี่ และมีผลข้างเคียงต่อตนเองและคนอื่นน้อยกว่าการดื่มสุรา กัญชาเป็นเรื่องของรสนิยมและการเลือกส่วนบุคคล ส่วนคนที่เห็นตรงข้ามนั้นเชื่อว่าเป็นการเพิ่มเติมยาเสพติดอีกชนิดหนึ่งอย่างไม่จำเป็น แค่บุหรี่และเหล้าก็เลวร้ายอยู่แล้ว แต่ก็มีคนจำนวนน้อยมากเท่านั้นที่เห็นว่าควรห้ามเด็ดขาดและให้มีโทษรุนแรงหากฝ่าฝืน ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าการห้ามไม่เป็นผลดังมีตัวอย่างให้เห็น กล่าวคือในปี 1933 ในสหรัฐอเมริกามีการออกกฎหมายห้ามผลิตและดื่มสุราโดยเด็ดขาดแต่ไม่ได้ผลเลย รังแต่จะทำให้มีการแอบค้าขายผิดกฎหมายมากขึ้น เกิดธุรกิจนอกกฎหมายและมาเฟียขึ้นมากมาย

สำหรับกลุ่มประเทศอเมริกาใต้นั้นได้ต่อสู้ยาเสพติดโดยเฉพาะกัญชามายาวนาน แต่บัดนี้กำลังจะหันมาทำให้กัญชาถูกกฎหมาย เพื่อเลิกการปราบปรามกัญชาที่สิ้นเปลืองเงินทองมหาศาลเสียแล้ว

ในเวลาไม่นานนักก่อนสิ้นปี 2013 อุรุกวัยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่การผลิตและการเสพกัญชาถูกกฎหมาย ไม่เพียงแต่ไม่ถูกฟ้องร้องเท่านั้น ยังไม่มีการปรับอีกด้วย (legalize) ผู้นำอาร์เจนตินา เม็กซิโก โคลัมเบีย และผู้นำความคิดของสังคมอเมริกาใต้ออกมาสนับสนุนความคิดนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงว่ายุคใหม่ของดินแดนแห่งยาเสพติด (กัญชา กระท่อม และต้นโคคา ซึ่งใบโคคาเป็นวัตถุดิบของการผลิตโคเคน) ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

สาเหตุสำคัญของการเกิดทิศทางใหม่มีอย่างน้อย 4 ประการกล่าวคือ (1) มีการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์กันอย่างกว้างขวาง สาร THC ในกัญชามีราคาถูก หาได้ง่าย และได้ผล (2) ยุคแสวงหาความสุขสมอย่างทันด่วนของชาวโลกได้ผลักดันให้การเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงเป็นสิ่งปกติ (3) การยอมรับฐานะของกัญชาว่าไม่ต่างไปจากเหล้าและสุราของสังคมสมัยใหม่

ประการสุดท้ายก็คือ การตระหนักของผู้นำกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ว่าสงครามสู้รบกับยาเสพติดนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ได้เสียเงินทองไปมหาศาลกับการปราบปรามกัญชา เมื่อเห็นกันว่ากัญชานั้น “ไร้เดียงสา” กว่าโดยเปรียบเทียบ ดังนั้น ก็ควรจะถือว่าการผลิต การครอบครอง และการเสพนั้นถูกกฎหมายเสียเลย ทั้งนี้ เพื่อลดคอร์รัปชัน ความรุนแรง และอาชญากรรมที่เกี่ยวพันกับการค้ายาเสพติดลง เพื่อให้สามารถหันมาสู้รบกับยาเสพติดอื่นๆ ได้อย่างเต็มมือและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียเงินน้อยลงมากด้วย

การทำให้กัญชาถูกกฎหมายนั้นจะทำให้มีจำนวนคนติดยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น และมีผู้คนเผชิญกับน้ำตามากขึ้นเฉกเช่นเดียวกับที่สุราทำร้ายครอบครัว แต่ในระดับมหภาค ประเทศจะมีการสูญเสียจากความรุนแรงและอาชญากรรมเกี่ยวเนื่องกับการค้ากัญชาผิดกฎหมายน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการปราบปราม

สำหรับผู้ต่อต้านกัญชาความจำเป็นต้องยอมรับกัญชาให้ถูกกฎหมายนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ “ผิดด้วยเหตุผลที่ (อาจ) ถูก” (wrong for the right reason) แต่สำหรับผู้สนับสนุนนั้นอาจเห็นว่าเป็นการกระทำที่ “ถูกด้วยเหตุผลที่ผิด” (right for the wrong reason) ก็เป็นได้

การทำให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของสังคมหรือไม่ เวลาจะเป็นตัวบอกเราในที่สุด