สิทธิมนุษยชนอาเซียน : ตู้โชว์ความเป็นสากล

อีกเพียงไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็จะครบรอบหนึ่งปีของการลงนามรับรองปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน (ASEAN Human Rights Declaration : AHRD)
ทว่าความเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในรอบปีที่ผ่านมาของอาเซียน กลับไม่มีความโดดเด่นและดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับองค์การระหว่างภูมิภาคแห่งนี้ กระนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร หากเราพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า กลไกด้านสิทธิมนุษยชนดังกล่าว เต็มไปด้วยข้อจำกัดด้านการดำเนินงาน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายองค์กร ทั้งระดับภาคประชาชนและนานาชาติที่ชี้ว่า ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน เป็นเพียงความพยายามรื้อฟื้นบทบาทและความชอบธรรมของอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ก่อนเกิดวิกฤตการเงินเอเชีย อาเซียนเคยรับรองคำประกาศสิทธิมนุษยชนสากล (The Universal Declaration of Human Rights of 1948) และประกาศสนับสนุนปฏิญญาเวียนนา (Vienna Declaration and Program of Action) ที่เรียกร้องให้ชาติต่างๆ ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนของตน อย่างไรก็ดี การรับรองกลไกด้านสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติทั้งสองของอาเซียนนั้น วางอยู่บนพื้นฐานของหลักคุณค่าแบบเอเชีย (Asian values) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่ไม่ได้สามารถใช้มาตรฐานของชาติตะวันตกมาตัดสินได้สิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า อาเซียนให้ความสำคัญกับ ลักษณะทางวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของแต่ละประเทศมากกว่าคุณค่าสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล
มรดกของชุดความคิดดังกล่าวตกทอดมาสู่การจัดตั้ง "คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน" (AICHR) ขึ้นในปี 2009 กลไกหลักในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในอาเซียนดังกล่าว ต้องปฏิบัติงานภายใต้เงื่อนไขของ “ลักษณะเฉพาะของประเทศและภูมิภาค การเคารพซึ่งกันและกันในเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและศาสนาที่ แตกต่างกัน และการคำนึงถึงความสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่” ยังไม่นับว่า ข้อจำกัดสำคัญอันเปรียบเสมือนหัวใจหลักของอาเซียน (ASEAN way) นั่นคือ การตัดสินใจด้วยฉันทามติ การเคารพอธิปไตยแห่งรัฐ บูรณภาพแห่งดินแดน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ยังมีบทบาทสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าวเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
ต่อมา เมื่อ AICHR พยายามจัดทำร่างปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนขึ้น ด้วยการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศเข้าไปเป็นคณะกรรมการยกร่าง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ บางประเทศเลือกที่จะส่งข้าราชการระดับสูงที่เน้นแต่ผลประโยชน์ประเทศมากกว่าการส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมโต๊ะเจรจา ขณะที่บางประเทศพยายามลดระดับความสำคัญของปฏิญญาให้กลายเป็นเพียง “กรอบความร่วมมือ” มิหนำซ้ำ กระบวนการร่างปฏิญญายังขาดการพูดคุยหารือกับตัวแทนภาคประชาสังคมที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงอย่างเพียงพอ จนทำให้หลักการที่ปรากฏในปฏิญญาเต็มไปด้วยความคลุมเครือ และไม่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากล ดังเห็นได้จากข้อวิจารณ์ของบรรดาภาคประชาสังคมอาเซียนที่โจมตีว่า เนื้อหาของปฏิญญานี้ “จะยิ่งสร้างความชอบธรรมมากขึ้นให้กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนที่อยู่ใต้เขตอำนาจของรัฐบาลอาเซียน” อีกทั้งปฏิญญาสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ยัง “ละเลยสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานหลายประการ รวมทั้งสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการรวมตัวเป็นสมาคมและสิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้กลายเป็นบุคคลผู้สูญหาย”
ภาคประชาสังคมหลายแห่งได้ชี้ข้อบกพร่องของปฏิญญาดังกล่าว โดยเฉพาะหลักการทั่วไปข้อที่ 7 ที่ระบุว่า การรับรองสิทธิมนุษยชนทั้งมวล แม้มีความเป็นสากล ทว่า “ต้องได้รับการพิจารณาในบริบทของภูมิภาคและของประเทศโดยคำนึงถึงความแตกต่างของภูมิหลังทางการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย สังคมวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และศาสนา” หรือเนื้อหาในข้อที่ 8 ที่มีระบุว่า สิทธิมนุษยชนนั้นจะต้อง “สอดรับกับความจำเป็นตามเหตุผลในเรื่องความมั่นคงของชาติ ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ สาธารณสุขความปลอดภัยของสาธารณะ ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งล้วนแต่มีความเป็นนามธรรม คลุมเครือ และสะท้อนวิธีคิดของชาติอาเซียน ที่ให้ความสำคัญกับ “สิ่งอื่น” มากกว่าการเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชนขณะที่ ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์ วอทช์ ในเอเชีย ก็ให้ความเห็นว่า ปฏิญญาดังกล่าวมักใช้คำที่มีลักษณะกว้างๆ อย่างเช่น ศีลธรรมสาธารณะ (Public Morality) จนไม่ทราบว่าความหมายที่แท้จริงเชิงรูปธรรมเป็นอย่างไร และทำให้ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง
ผลก็คือ แม้อาเซียนจะมีกลไกส่งเสริมสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคอย่างเป็นทางการและแม้รัฐบาลชาติต่างๆ จะได้ลงนามรับรองหลักการที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอาเซียนไปแล้วกว่าหนึ่งปี ทว่ากลไกดังกล่าวกลับแทบไม่ได้รับความสนใจมากนักจากชาติสมาชิกที่ยังคงยึดมั่นในหลักอธิปไตยแห่งรัฐ ความมั่นคงแห่งชาติ และการไม่แทรกแซงภายในระหว่างกัน ขณะเดียวกัน ก็แทบไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้องหรือแม้แต่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้แก่ประชาชนชาวอาเซียนได้อย่างที่ตั้งความหวังไว้ ดังเห็นได้จากความนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ความรุนแรงระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมในพม่า ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนและได้แพร่ขยายไปสู่การปะทะกันระหว่างคนสองศาสนาในพื้นที่อื่นๆ เช่น ในอินโดนีเซีย การจับกุมตัวนายยอม โบปผา นักรณรงค์ต่อต้านการไล่รื้อที่ดิน ในกัมพูชา การสั่งจำคุกบล็อกเกอร์ที่เขียนโจมตีรัฐบาลเวียดนามกว่า 30 คน ไปจนถึงการหายตัวไปของนายสมบัด สมพอน นักพัฒนาอาวุโสของลาวที่หายตัวไปอย่างลึกลับ เพียงหนึ่งเดือนหลังจากอาเซียนลงนามรับรองปฏิญญาสิทธิมนุษยชนฉบับดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนและกลไกสิทธิมนุษยชนของอาเซียน จึงเป็นประหนึ่ง “ตู้โชว์สินค้า” ที่ทำหน้าที่จัดแสดงสิ่งที่อยู่ภายในเพื่อดึงดูดสายตาผู้ชมจากภายนอก แน่นอนว่าสินค้าภายในตู้โชว์ต้องเป็นสิ่งของที่ดูเหมือนมีราคาหรือมีความโดดเด่น ทว่ากลับหยิบมาใช้งานจริงๆ ไม่ได้ ไม่ต่างจากชื่อของรายงานตรวจสอบผลการดำเนินงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน หรือ AICHR ระหว่างปี 2011-2012 ขององค์กรฟอรัม เอเชีย (Forum Asia) ที่ใช้ชื่อว่า "Still Window-dressing" หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ ทั้งหมดอาจเป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่ง เพื่อรื้อฟื้นบทบาทและความชอบธรรมให้อาเซียน ในยุคสมัยที่ “การแสดงออกว่าเคารพสิทธิมนุษยชน” กลายเป็นคุณค่าสากลที่ใช้ประเมินความชอบธรรมของรัฐและองค์การระหว่างประเทศ โดยไม่จำเป็นว่าต้องปฏิบัติได้จริง
เป็นความจริงที่ว่า สิทธิมนุษยชนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศของชาติตะวันตก และตัวอย่างการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงในการสอดส่องตรวจตราประชาชนของตนเอง อาจเป็นข้ออ้างที่สร้างความชอบธรรมให้อาเซียน ในการยืนยันว่า แม้แต่ประเทศที่เป็นตัวตั้งตัวตีของการผลักดันประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนสากลยังไม่สามารถปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวอย่างไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่ชอบธรรมเพียงพอต่อการละเมิดหรือยินยอมต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน ไม่ว่าในที่ใดๆ เว้นเสียแต่เราจะเห็นว่า มี “สิ่งอื่น” ที่สำคัญกว่าสิทธิและเสรีภาพในชีวิตของผู้คนอยู่จริง
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อาเซียนได้จัดการประชุมภาคประชาสังคมอาเซียน 2013 ขึ้นที่ประเทศบรูไน ภายใต้หัวข้อ “อาเซียน : อนาคตของเราร่วมกัน” (ASEAN : Our Future Together) ทว่าผู้แทนจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากเจ้าภาพไม่ยอมให้ประเทศสมาชิกร่วมจัดหัวข้อประชุม ทั้งยังไม่นำประเด็นทางสังคมในภูมิภาคมาพูดคุย อาทิ ไม่มีการพูดเรื่องประชาธิปไตย ความหลากหลายทางเพศสิทธิมนุษยชนฯลฯ เหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะสะท้อนแง่มุมบางประการของอาเซียนได้ไม่มากก็น้อย ท้ายที่สุด สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “อนาคต” ที่ชาวอาเซียนมีร่วมกันจะหน้าตาเป็นอย่างไร หากเรื่องราวทางสังคมเหล่านั้นได้รับการเพิกเฉย หรือไม่ถูกพูดถึง




