จีนออก กฎหมายกตัญญู

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาสภาประชาชนจีนประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยสิทธิและประโยชน์ของผู้สูงอายุฉบับใหม่
ซึ่งมีมาตราหนึ่งกำหนดว่า "สมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ห่างจากผู้สูงอายุในครอบครัวต้องกลับมาเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุบ่อยๆ" กฎหมายนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น "กฎหมายกตัญญู"
ความกตัญญูเป็นศีลธรรมข้อสำคัญของสังคมโบราณของจีนขงจื๊อสอนว่าความกตัญญูถือเป็นศีลธรรมข้อแรกในบรรดาศีลธรรมทั้งหมดเพราะเป็นศีลธรรมอันเป็นรากฐานค้ำจุนประเทศหากขุนนางจงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิประหนึ่งบุตรกตัญญูต่อบิดาประเทศชาติย่อมเปี่ยมด้วยสันติสุข
สังคมโบราณของจีนมีหนังสือชื่อ "24 ยอดกตัญญู" ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับความกตัญญูของบัณฑิตจีน 24 เรื่อง เช่นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้แบกข้าวสารและผลไม้ข้ามป่าเขาไปให้พ่อแม่โดยตัวเองอดทนทานหญ้าตามเส้นทางหรือเรื่องราวของชายหนุ่มซึ่งเมื่อเห็นพ่อถูกยุงกัดในยามค่ำคืนก็ถอดเสื้อผ้าของตัวมานั่งโอบพ่อเพื่อให้ยุงมารุมตัวเองแทนที่พ่อ หนังสือเล่มดังกล่าวกลับเป็น “หนังสือต้องห้าม” ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตง เพราะเหมาเจ๋อตงเห็นว่าศีลธรรมของขงจื๊อและสังคมจีนโบราณ (ซึ่งมีความกตัญญูมาเป็นลำดับแรก) เป็นรากฐานของสังคมที่แบ่งชนชั้นและปราศจากความเท่าเทียม ดังนั้น เพื่อที่จะทำลายสังคมศักดินาลงให้สิ้นซากและสร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่แห่งความเท่าเทียมตามความฝันของคอมมิวนิสต์เหมาเจ๋อตงจึงส่งเสริมให้ลูกสามารถโจมตีและกล่าวโทษพ่อแม่ตัวที่มีความคิดคร่ำครึไม่ทันสมัยจนทำให้ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมได้รับการจดจำว่าเป็นช่วงเวลาอันโหดร้ายที่เยื่อใยทางครอบครัวในสังคมจีนถูกทำลายความรักและความไว้เนื้อเชื่อใจภายในครอบครัวสูญสิ้นลงความคิดทางการเมืองและอุดมการณ์ทางการเมืองเข้ามาแทนที่ศีลธรรมสุดท้ายนำพาประเทศจีนเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวายยาวนานกว่าสิบปี
ภายหลังสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรมเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำคนใหม่ได้ดำเนินการเปิดและปฏิรูปประเทศผู้นำจีนรุ่นใหม่ค่อยๆ รื้อฟื้นศีลธรรมโบราณขึ้นมาเป็นจุดยึดเหนี่ยวจิตใจของคนจีนความกตัญญูค่อยๆ กลายมาเป็นศีลธรรมอันควรสรรเสริญและความกตัญญูภายในบ้านก็ต่อยอดไปสู่ความกตัญญูต่อบ้านเมือง (ซึ่งก็คือพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเอง) เมื่อไม่นานมานี้ทางการจีนได้ทำการเรียบเรียง "24 ยอดกตัญญูเวอร์ชั่นทันสมัย" ประกอบด้วยเรื่องราวร่วมสมัยอันประทับใจ เช่น ลูกกตัญญูที่สอนพ่อแม่เล่นอินเทอร์เน็ต หรือลูกกตัญญูที่ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาซื้อประกันสุขภาพให้พ่อแม่
จนมาถึงวันนี้การส่งเสริมความกตัญญูผ่านระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนของรัฐได้ยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่งไปสู่การออก "กฎหมายกตัญญู" พูดง่ายๆ ว่าต่อจากนี้ใครไม่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ไม่ใช่แค่ผิดศีลธรรมเท่านั้นแต่ยังผิดกฎหมายด้วย บริษัทห้างร้านก็ต้องอนุญาตให้คนงานลางานไปเยี่ยมพ่อแม่ได้คล้ายๆ กับที่ชายไทยมีสิทธิลาบวชได้นั่นแหละ
ค่านิยมของสังคมจีนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนบางคนงงก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีรัฐบาลจีนยังให้รางวัลคนงานที่ไม่ลางานกลับบ้านในช่วงตรุษจีนโดยตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติงานไม่ยอมหยุดพัก สรรเสริญว่าคนงานเหล่านี้ทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตนสมกับค่านิยมคอมมิวนิสต์ แต่มาถึงวันนี้สังคมคอมมิวนิสต์ดูจะย้อนยุคกลับไปเป็นสังคมจีนโบราณและศีลธรรม "โบราณคร่ำครึ" ดูจะกลายมาเป็น "ความดีงามอันเป็นนิรันดร์"
รัฐบาลจีนให้เหตุผลว่านี่เป็นแนวทางที่ตอบรับกับการเป็นสังคมผู้สูงอายุของจีน ก่อนหน้านี้กฎหมายบังคับให้มีลูกคนเดียวได้ประสบความสำเร็จในการลดจำนวนประชากร แต่ก็ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของจีนบิดเบี้ยว กล่าวคือยิ่งนานวันสัดส่วนคนแก่สูงกว่าคนหนุ่มสาวมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ในเมื่อเคยออกกฎหมายบังคับให้มีลูกคนเดียวได้ก็ต้องออกกฎหมายมาบังคับให้ลูกคนเดียวเหล่านี้กตัญญูพ่อแม่ตัวเองด้วย
ตามสถิติทางการของรัฐบาลคนแก่ในวัยเกษียณของจีนมีราว 180 ล้านคนโดยมากกว่าครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้อยู่อาศัยกับลูก ถ้าขงจื๊อยังอยู่คงตกใจช็อกกับสถิตินี้ เพราะสังคมจีนโบราณมีกฎเหล็กที่ว่า "พ่อแม่ยังอยู่ไม่เดินทางไกล" แต่ในยุคแข่งรวยแข่งดีแข่งเด่นในปัจจุบัน ลูกๆ ต่างต้องเดินทางเข้าเมืองไปเรียนหนังสือและทำงาน เพื่อความเจริญก้าวหน้าและความร่ำรวยของตนส่วนตัวพ่อแม่เองไม่เพียงสนับสนุนยังเป็นห่วงทุกข์สุขของลูกตลอดทางด้วย
คนที่เห็นด้วยกับ “กฎหมายกตัญญู” กล่าวทำนองว่ากฎหมายนี้จะช่วยยกระดับความสำคัญของศีลธรรมโบราณข้อนี้ เห็นไหมว่าเพียงกฎหมายประกาศใช้ได้ไม่กี่วันก็สร้างกระแสกตัญญูฟีเวอร์จนกลายเป็นแฟชั่นในหมู่หนุ่มสาวจีนแล้ว
แต่กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยจนถึงแดกดันเสียดสีก็เช่นนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งของจีน ซึ่งเขียนบทความเมื่อไม่นานมานี้ว่าเขาเห็นด้วยกับความกตัญญูเพียงแต่เรื่องศีลธรรมไม่ใช่ปริมณฑลของกฎหมาย "การออกกฎหมายบังคับให้คนกตัญญูก็เหมือนการออกกฎหมายบังคับให้คู่สมรสต้องมีเพศสัมพันธ์ต่อกันความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องของภาระหน้าที่ตามธรรมชาติไม่ใช่ภาระหน้าที่ตามกฎหมาย"
“กฎหมายกตัญญู” ไม่ได้กำหนดโทษอาญาของการฝ่าฝืนไว้ และไม่ได้ขยายความว่าที่ต้อง “กลับมาเยี่ยมผู้สูงอายุบ่อยๆ” นั้นต้อง “บ่อย” แค่ไหน แต่ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจในการปรับใช้กฎหมายดังกล่าวประกอบในทางแพ่งตามแต่กรณีดังที่กฎหมายใหม่ออกมาได้ไม่กี่วัน ศาลเมืองอู่ซีได้สั่งให้คู่สามีภรรยาต้องกลับไปเยี่ยมแม่ในวัย 77 ปีซึ่งฟ้องต่อศาลว่าถูกลูกๆ ทอดทิ้งโดยให้กลับไปเยี่ยมแม่ทุกๆ 2 เดือนเพื่อสนอง "ความต้องการทางจิตใจ" ของท่านและสั่งให้จ่ายค่าบำรุงเลี้ยงดูด้วย
กรณีของจีนเป็นตัวอย่างที่ดีของความพิลึกพิลั่นของ "สังคมสมัยใหม่" จากที่เคยพยายามถอนรากถอนโคนของเก่าก็กลับไปแสวงหาของดีมีอยู่ ขณะเดียวกันสังคมสมัยใหม่ชอบพูดถึงศีลธรรมแต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่เหลือพลังทางศีลธรรมจึงต้องลูบหน้าปะจมูกด้วยการแปลงศีลธรรมให้เป็นตัวบทกฎหมาย
ใช่ครับ เอาศีลธรรมมาแปลงเป็นกฎหมายอาจไม่ได้ทำให้เกิดมรรคผลจริงจังอะไรขึ้นมา แต่อย่างน้อยก็ทำให้ "คนสมัยใหม่" หลายคนรู้สึกดีขึ้น







