สค.เจาะตลาดเอเชียใต้เดินเกมจับคู่ธุรกิจ

สค.เจาะตลาดเอเชียใต้เดินเกมจับคู่ธุรกิจ

ดึงผู้เชี่ยวชาญ E-Marketplace ประเทศอินเดียทั้งผู้แทนนักธุรกิจระดับผู้นำเข้าและผู้กระจายสินค้าชั้นนำกว่า 8 บริษัท

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์เล็งเปิดตลาดเอเชียใต้ดึงผู้เชี่ยวชาญ E-Marketplace ประเทศอินเดียทั้งผู้แทนนักธุรกิจระดับผู้นำเข้าและผู้กระจายสินค้าชั้นนำกว่า 8 บริษัท จัดกิจกรรมโดยนำคณะผู้แทนการค้ากลุ่ม Modern Trade และ E-Platform มาสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับตลาด แนวโน้มสินค้า และผู้กระจายสินค้าในเอเชียใต้ และกิจกรรมเจรจาทางการค้าระหว่างผู้ประกอบการไทยและนักธุรกิจเอเชียใต้

เมื่อวันที่ 2-3 พฤษภาคม พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา ณ ห้องศาลาไทย โรงแรม Marriott Marquis Queen's Park สุขุมวิท 22ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 250 รายคาดว่าจะมีมูลค่าซื้อสินค้าไทยทันทีกว่า 100 ล้านบาทและคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีจะสร้างรายได้จากตลาดการค้าออนไลน์ของอินเดียไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าปัจจุบันการซื้อขายออนไลน์หรือ E-Commerce ได้รับความนิยมมากซึ่งสอดรับกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ระดับโลกผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจึงได้ร่วมกับคณะผู้แทนการค้ากลุ่ม Madern Trade และ E-Platfrom จำนวน 8 บริษัท

อาทิ ผู้แทนบริษัท Reliance Retail และ Reliance Smart ธุรกิจเครือข่ายค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียมีสาขากว่า 3,751 สาขาใน 750 เมืองของอินเดียและร้าน US Dollar Store ธุรกิจค้าปลีกแบบแฟรนไชส์ที่มีร้านค้ากว่า 200 สาขาเป็นต้นโดยทุกบริษัทมีความสนใจและความต้องการเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย ซึ่งมูลค่าการซื้อขายออนไลน์ของประเทศอินเดียมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยในปี 60 มีมูลค่าสูงถึง 39 พันล้านเหรียญสหรัฐรั้งอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ยังมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตกว่า 481 ล้านรายจากประชากรทั้งหมด 1,200 ล้านรายทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเล็งเห็นถึงศักยภาพทางการค้าของตลาดออนไลน์ในประเทศอินเดีย จึงได้เชิญกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำของอินเดียมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งเชิญผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพมาร่วมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยทำการค้าในตลาดเอเชียใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้าร่วมงานกว่า 250 รายซึ่งคาดว่าจะเกิดการซื้อขายทันทีกว่า 100 ล้านบาทและจะเกิดมูลค่าการซื้อขายกว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี

อย่างไรก็ตามความร่วมมือกับอินเดียยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นโดยความท้าทายคือการตั้งราคาที่เหมาะสม และขั้นตอนการแพ็คสินค้า (Packaging) ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความนิยมของคนในประเทศอินเดีย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดล่างและตลาดกลาง” นางจันทิรา กล่าว นางจันทิรา เปิดเผยอีกว่า นอกจากการจับมือกับ E-Marketplace ในประเทศอินเดียแล้วยังได้มีการจับมือกับตลาดออนไลน์อีกมากมายทั่วโลกอาทิ ลาซาด้า(Lazada) , อีเบย์(eBay), อเมซอน (amazon ) , อาลีบาบา (Alibaba Group) เป็นต้น ซึ่ง E-Marketplace แต่ละประเทศก็มีมูลค่าที่สูงเช่น e-Bay เกิดมูลค่าซื้อขายเพียงไตรมาสเดียวถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐขณะที่ Lazadaได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่นจนเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 3 รองจาก Facebook และ 7-Eleven เท่านั้น ทั้งนี้รูปแบบการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนหรือ Cross-Border E-Commerce ทั่วโลกจะเป็นแบบ B2C มากขึ้นซึ่งภูมิภาคที่อัตราขยายตัวมากที่สุดคือประเทศในแถบเอเซียและแปซิฟิคด้านมูลค่า Cross-Border E-Commerce ทั่วโลกในปี 2559 มีมูลค่าการซื้อขายถึง 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งมูลค่าการซื้อขายผ่าน E-Commerce ของประเทศไทยเมื่อเทียบกับการซื้อขายทั่วโลกมีเพียง 1% เท่านั้น

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว ด้วยพื้นที่ที่ยังสร้างรายได้อีกมหาศาลถือเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการไทยในการกอบโกยรายได้จากตลาดที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาทหากพัฒนาศักยภาพในทุกมิติให้พร้อมรับมือกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกจะทำให้การส่งออกมีมาตรฐานที่ดีขณะเดียวกันการสร้างแบรนด์ในกลุ่มผู้ประกอบการ SME ไปสู่ตลาดสากลนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สนใจเป็นส่วนหนึ่งกับไทยเทรดดอทคอมโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์ง่ายๆได้ที่ www.Thaitrade.com หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายตรงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 1169