ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

ฮอนด้า เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) รุ่นแรกในไทย โดยเปิดสายการผลิต Honda e:N1 ที่โรงงาน ปราจีนบุรี ซึ่งแฟนฮอนด้าหลายคนที่รอคอยการมาของ อีวี มายาวนาน น่าจะไม่ผิดหวังกับเรื่องของสมรรถนะ การขับขี่ ยกเว้นอย่างเดียว คือ ถ้าอยากจะซื้อมันมาครอบครอง

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) เติบโตอย่างรวดเร็ว มีรถรุ่นใหม่ ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเปิดตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันผู้บริโภคบางส่วนก็ถามถึงและรอคอยการขยับตัวของฝั่งญี่ปุ่นที่ดูเหมือนจะเงียบๆ

แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ก็มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งญี่ปุ่นคือโตโยต้าที่นำเข้า bZ4X มาทำตลาด ซึ่งเมื่อเปิดตัวก็ได้รับความสนใจมาก แต่โตโยต้าก็ไม่เน้นทำตลาดมากมายอะไรนัก รถมีจำนวนจำกัด

ล่าสุดเป็นความเคลื่อนไหวของฮอนด้าที่ยกระดับไปอีกขั้น ด้วยการประกอบ อีวี ในไทยทันทีที่โรงงานปราจีนบุรี แต่ "Honda e:N1"  อีวีรุ่นแรกของฮอนด้าไม่เปิดขาย แต่ใช้วิธีให้เช่าแทนผ่านพันธมิตร 12 ราย ในระดับราคาเริ่มต้นเดือนละ 2.9 หมื่นบาท สำหรับเงื่อนไขการเช่า 48 เดือน

ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ ลูกค้ารู้ค่าใช้จ่ายที่แน่นอน กับค่าไฟที่ชาร์จเท่านั้น ส่วนรายจ่ายอื่นๆ รวมถึงยางทางฮอนด้าจัดการให้ โดยจะเปลี่ยนทุกๆ 5 หมื่น กม. หรือว่าแบตเตอรี 12 โวลต์ ก็จะเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี เป็นต้น 

ราคานี้คุ้มไม่คุ้มอยู่ที่รูปแบบการใช้งานของแต่ละคน และที่มองข้ามไม่ได้ คือ ความชอบของแต่ละคน และสำหรับผม ที่เพิ่งไปลองขับมา บอกตอนต้นนี้เลยว่าชอบครับ

มีจุดที่ผมอยากพูดถึงสักสองสามอย่าง หนึ่งคือ e:N1 เป็นรถ และมีกลิ่นอายของฮอนด้าชัดเจน สองเป็นรถที่มีความสมดุล ขับได้เนียน และสามคือ ไม่มีความอุ้ยอ้ายของอีวี 

แน่นอนหากไปดูกันที่สเปค หลายคนที่เสพติดกับตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ว่ากันระดับตัวเลขน้อยๆ อาจจะถามว่า  e:N1 ที่ใช้เวลา 7.7 วินาที โอไคไหม

ฮอนด้าตอบชัดเจนตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วที่ได้ไปที่ Honda Proving Ground ที่เมืองโตชิกิ ว่าเขาต้องการเซ็ทรถที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่เฉพาะคนขับ แต่รวมถึงคนอื่นๆ ในรถด้วย ที่ต้องได้รับความสะดวกสบายเช่นกัน 

จริงไม่จริงคงต้องตอบกันเอง เพราะมุมมองแต่ละคนอาจต่างกัน แต่สำหรับผม ผมว่ามันเป็นเรื่องดี เพราะการใช้งานจริงมันลงตัว และจะมีใครสักกี่คนที่ออกตัวทุกครั้งหรือบ่อยครั้งแบบ 0-100 

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

ผมว่าไม่ใช่เรื่องยาก หรือจะบอกว่าเป็นเรื่องง่ายก็ได้สำหรับอีวีที่จะทำให้อัตราเร่งดุดันขนาดนั้น อยู่ที่ว่าใครจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น 

แต่อัตราเร่ง หรือการใช้ประโยชน์จากแรงบิด ผมมองที่การใช้งานจริง เช่น การเรียกกำลังมาในช่วงจังหวะจะเร่งแซง เมื่อกำลังขับอยู่ในความเร็วต่ำหรือปานกลาง ซึ่งเจ้า e:N1 ก็ให้คำตอบแล้วกับการลองขับครั้งนี้ในเส้นทางที่หลากหลายจากบางชัน ขึ้นมอเตอร์เวย์ไปลงรังสิต-นครนายก ต่อไปถึงเขื่อนขุนด่านปราการชล ก่อนย้อนกลับมาเส้นทางเดิมรวมแล้วประมาณ 220 กม. 

อัตราเร่งดีครับ แซงได้รวดเร็ว เปลี่ยนช่องทางไปมาเพื่อหลบรถคันอื่นที่เต็มถนนได้อย่างสบายใจ และช่วงทางโค้งออกจากโค้งได้เร็ว ทางขึ้นเนินกำลังมาได้สบายๆ ทำให้การปีนไต่ราบรื่นไม่เสียเวลา การควบคุมรถทำได้ง่ายๆ ไม่ยาก

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

รถเปรับเปลี่ยนช่องทาง หรือเข้าออกโค้งได้อย่างสมดุล การให้ตัวของตัวถังน้อย การยึดเกาะถนนของล้อหน้าแม่นยำ และอย่างที่บอกว่า อีวี จะมีน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามาไม่น้อยจากแบตเตอรี แต่คันนี้เมื่อขับไม่ทำให้รู้สึกถึงน้ำหนักส่วนเกิน

พูดง่ายๆ ไม่อุ้ยอ้าย โดยเฉพาะจังหวะการเปลี่ยนช่องทาง เข้าออกโค้ง หรือแม้แต่จังหวะเร่งความเร็ว หรือเบรก 

มันให้อารมณ์ที่แทบจะไม่ต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ พูดง่ายๆ ถ้าใครที่ไม่เคยขับอีวีมาก่อน โดดขึ้น e:N1 ก็สามารถขับได้ทันที โดยไม่รู้สึกแปลกแยกหรือเกร็งอะไรกับมัน จากต่างบ้างก็ตรงที่อัตราเร่งมันกระฉับกระเฉงมากขึ้น

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

เป็นรถที่ใช้แพลทฟอร์มร่วมกับ HR-V ซึ่งเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนชื่นชอบ รวมถึงการขับขี่ แต่ว่าถ้ามาขับ e:N1 เชื่อว่าจะคิดเหมือนผมว่าเจ้าอีวีคันนี้มันขับดีกว่า ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของสมรรถนะ แต่รวมถึง Handling จังหวะให้ตัวที่น้อยกว่า 

ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ชอบนัก คือ แบตเตอรีที่เห็นมันห้อยเล็กน้อยอยู่ใต้ท้องรถ ด้วยความที่สร้างจากแพลตฟอร์มเดิม แต่นั่นเมื่อรวมกับโครงสร้างรถโดยรวมที่ความสูงลดลงจาก HR-V 3 ซม. ทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง 

แต่สิ่งหนึ่งที่อยากได้ คือน้ำหนักพวงมาลัย ที่อยากได้หนักกว่านี้ ซึ่งจะรองรับอารมณ์สปอร์ตได้ดียิ่งขึ้น  

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

สำหรับสเปคโดยรวมของ e:N1

  • ขับเคลื่อนล้อหน้า 
  • กำลังสูงสุด 204 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร 
  • ความจุแบตเตอรี 68.8 kWh
  • ระยะทางขับขี่สูงสุด 500 กม. (NEDC)

อีกจุดหนึ่งที่ฮอนด้าเซ็ตมาก็คือ การรีเจนฯ หรือ การชาร์จไฟกลับเมื่อถอนคันเร่ง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการที่เราเรียกกันว่าแรงหน่วง ซึ่งเลือกได้ 3 ระดับ ด้วยแป้นควบคุมที่พวงมาลัยเหมือนกับแพดเดิลชิฟท์นั่นแหละครับ แต่ต่อให้ตั้งแบบหน่วงมากที่สุด ก็ยังไม่ได้หน่วงมากนัก พูดง่ายๆ คือ ยกเท้าจากคันเร่ง จะไม่มีอาการแบบหัวทิ่มแน่นอน น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้โดยสารชื่นชอบ 

ยกเว้นถ้าเลือกขับด้วยโหมดสปอร์ต แรงหน่วงจะเพิ่มขึ้น เข้าใจว่าเพื่อต้องาารให้เกิดการทำงานแบบเอนจิ้นเบรกในรถที่ใช้เครื่องยนต์มากขึ้น เพราะว่าหากปรับมาใช้โหมดสปอร์ตมันจะดุดันขึ้นชัดเจน แตะคันเร่งนิดหน่อยรถพุ่งไปอย่างเร็วครับ

ในมุมผมใช้ นอร์มอล ก็เพียงพอ และสนุกแล้วครับ และ 90% ของการขับครั้งนี้ก็ใช้ นอร์มอล ที่เหลือก็แค่ลองๆ สปอร์ต กับ อีโค เล็กน้อยเท่านั้น 

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

ในแง่การออกแบบ อีกสิ่งที่ผมชอบ คือ รายละเอียดของรถบางอย่างที่ไม่ทิ้งของเดิมๆ อย่างเช่น มันมีปุ่มสตาร์ต/สต็อป มาให้ ขณะที่อีวีปัจจุบันหลายรุ่นไม่มีมาให้ แต่เพียงแค่เข้าไปในรถโดยมีรีโมทอยู่กับตัวระบบมันก็เริ่มทำงานอัตโนมัติ ระบบต่างๆ เปิดขึ้นมา เมื่อจะเดินทางก็แค่เหยียบเบรกเข้าเกียร์จะด้วยวิธีกด โยก หมุน ก็แล้วแต่การออกแบบ พอจอดรถก็แค่เข้าเกียร์ P แล้วลงจากรถได้เลย

แต่ผมยังชอบปุ่มสตาร์ต/สต็อป อยู่ครับ หรือว่าเรามันเป็นคนรุ่นเก่าไปเสียแล้ว 

สำหรับภาพรวมของ e:N1 อย่างที่บอกไปว่าใช้แพลทฟอร์มร่วมกับ HR-V แต่สิ่งที่แตกต่างคือภายนอกมีความยาวมากกว่า 5 มม.ความกว้างเท่ากัน ความสูงเตี้ยกว่า 3 ซม.

กระจังหน้าเป็นแบบกริลเลส และติดตั้งจุดชาร์จไฟแบบมีฝาปิดเก็บงานเรียบร้อยมาให้ ก็น่าะจะสะดวกในการชาร์จเพราะไม่ต้องเล็งว่าจะเอาด้านซ้ายหรือด้านขวาเข้าไปดี แต่หลายคนก็กังวลกรณีถ้าเกิดอุบัติเหตุ เอาหน้ารถไปจิ้มอะไรเข้าแรงๆ 

นอกจากนี้ก็ย้งมีความแตกต่างที่ล้อ ซึ่งคันนี้ใช้ล้อ 18 นิ้ว และยางขนาด 225/50 R18
นอกจากนี้โลโก้ H mark ก็ต่างออกไป และด้านท้ายไม่มีโลโก้ แต่ติดตัวอักษร honda มาแทน 

ภายในห้องโดยสารจุดที่แตกต่างชัดเจนคือ คอนโซลหน้าที่ออกแบบใหม่รองรับมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ 15.1 นิ้ว วางแนวตั้ง และที่น่าสนใจ คือ จอแบ่งเป็น 3 โซน ทำให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยโซนบนสุด เกี่ยวกับเรื่องของคอนเนคท์ เช่น การเชื่อมต่อแอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ แบบไร้สาย รวมถึงแอนดรอยด์ ออโต้ และอื่นๆ

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

โซนกลาง เป็นดาต้า โซน ข้อมูลต่างๆ เลือกดูเลือกปรับได้จากตรงนี้ และด้านล่างเกี่ยวกับระบบปรับอากาศ  และฮอนด้าเพิ่มแอมเบียนท์ไลท์มาให้ที่คอนโซลหน้าและแผงประตู 

อีกจุดที่ปลี่ยนคือคอนโซลเกียร์เพราะ e:N1 ไม่มีคันเกียร์เหมือน HR-V แต่เป็นเกียร์แบบปุ่ม และที่ดีคือเกียร์ R ที่ออกแบบรูปทรง การควบคุมที่ต่างออกไปจาก D N หรือ P น่าจะช่วยป้องกันการเข้าเกียร์ผิดได้

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

ส่วนจอสดงข้อมูลขับขี่ เป็นแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว แสดงข้อมูลชัดเจน

 ส่วนออปชั่นหลักๆ ที่ให้มาก็ไม่น้อยครับ แน่นอนรวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ช่วยตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ คือ

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ  
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน
  • ระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่

นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information - BSI) ครั้งนี้ฮอนด้าใส่มาให้นะครับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้หลายคนเรียกร้องอยากได้ แต่ฮอนด้าไม่ได้ใส่มากับรถหลายรุ่น แต่มี lane watch มาให้แทน 

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

ฮอนด้า ‘e:N1’ ดีกว่าที่คิด EV น่าขับ แรงดี สมดุล ไม่ต้องปรับตัว

รวมถึง ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านขณะถอย กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ เซนเซอร์กะระยะ 8 จุด

ช่องเชื่อมต่อยูเอสบีด้านหน้า 2 ช่อง เป็นไทป์เอ 1 ช่อง ไทป์ ซี 1 ช่อง ส่วนด้านหลังเ)็น ไทป์ ซี 2 ช่อง ที่ชาร์จไฟแบบไร้สาย  ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา เป็นต้น

โดยรวมถือเป็น อีวี ที่น่าสนใจ เป็นอีวี ที่ขับดีที่สุดในตลาดเดียวกันตอนนี้แล้วหละครับ ถ้าไม่เชื่อก็ลองซื้อ อ้อ ไม่ได้สิ ต้องลองเช่ามาขับ เพราะฮอนด้าไม่ขาย แต่เปิดให้เช่าระยะยาวเท่านั้น เริ่มต้นเดือนละ 29,900 บาท โดยไม่ค่าใช้จ่ายด้านการดูแล รวมถึงการเปลี่ยนยางทุก 50,000 กม. หรือแบตเตอรี 12 โวลต์ ที่เปลี่ยนทุกปี