จุดประกาย DocumenSeries เรื่อง The Stranger ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ลี้ภัยในเมืองใหญ่ ดำเนินมาถึงทางออกของปัญหา ตอนจบของเรื่องนี้
คลี่ปม คลายปัญหา
เมื่อมองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “ผู้หนีภัย” ในนิยามอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยนั้น ส่งผลกระทบ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาถือเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงสำคัญในการตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ ดังนั้น ข้อสังเกตในงานวิจัยเรื่อง การให้การช่วยเหลือเด็กต้องกักในห้องกักตัวคนต่างด้าวสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย อัตถิยา เดวีเลาะ จากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ถือเป็นการฉายภาพ ปมปัญหาที่เกิดขึ้น และการมองเห็นที่ปลายอุโมงค์ของเรื่องนี้ด้วย
การขับเคลื่อนในระดับชาติ
- ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ในประเด็นผู้ลี้ภัย
- กำหนดนโยบายให้ชัดเจนในเรื่องระยะเวลาการกักตัวของผู้ลี้ภัย
- สร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในการส่งกลับ การดูแลการส่งตัว ประเมินความเสี่ยงประเทศต้นทางว่า มีอันตราย หรือไม่
การขับเคลื่อนระดับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง
- ปรับทัศนคติเบื้องต้นต่อปัญหาของผู้ลี้ภัย ไม่มองมิติเรื่องของความมั่นคงอย่างเดียว แต่มองด้วยมิติของสิทธิมนุษยชนเป็นหลักสำคัญ
- จำแนกคนเข้าเมืองที่มีสถานภาพทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
- สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทำงานร่วมกับ UNHCR ในการกำหนดสถานะของผู้ลี้ภัย
- มีมาตรการในการดูแลที่ต้องคำนึงถึงแหล่งพักพิงชั่วคราวดูแลเรื่องของความเป็นครอบครัว
- ไม่กักขังแรงงานข้ามชาติที่เป็นกลุ่มคนที่เปราะบาง อาทิ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ คนชรา ผู้พิการ ผู้ป่วย หรือ เหยื่อค้ามนุษย์
- ปฏิรูปกระบวนการจับกุม กักตัว และส่งกลับให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โปร่งใส และมีการตรวจสอบในระบบตุลาการที่เป็นอิสระ
- พิจารณาให้สัตยาบันอนุสัญญาที่เกี่ยวกับสถานะคนไร้รัฐ สัญชาติ พ.ศ. 2497 และพิธีสารเลือกรับ พ.ศ.2510 และอนุสัญญาว่าด้วยการไร้สัญชาติ พ.ศ.2504
- ยอมรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 และควรแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้สอดคล้องกับสิทธิในการขอลี้ภัย และหลักการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย
ทางออกการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยของประเทศไทย และอาเซียน
- ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องรับผู้ลี้ภัย แต่เป็นจุดขอสถานะ ผู้ลี้ภัย เพื่อไปประเทศที่สาม โดยองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาร่วมดูแลผู้ลี้ภัย ผลักดันร่วมกันในระหว่างภูมิภาค ทั้งในระดับอาเซียน และสหประชาชาติ
- พัฒนาความร่วมมือในกรอบภูมิภาคอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่กลไกในการแก้ปัญหาในระดับภูมิภาค ซึ่งยังถูกมองข้ามอยู่
- พัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยที่ “ยืดหยุ่น” และเป็นสากล โดยใช้รูปแบบ “ผสมผสาน” ทั้งการส่งไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม หรือช่วยให้เดินทางกลับโดยสมัครใจ
- การย้ายถิ่นในปัจจุบันเป็นแบบผสมผสานมากขึ้น ผู้ลี้ภัยบางส่วนกลายเป็นแรงงานข้ามชาติ เช่น กลุ่มโรฮิงญาในไทยและมาเลเซีย ชาวแขมร์กรอมในไทย ชาวไทยใหญ่จากรัฐฉานที่อพยพเข้าในไทย ปัญหาผู้ลี้ภัยจึงเชื่อมโยงกับประเด็นแรงงานข้ามชาติ ซึ่งการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยเรื้อรังก็อาจช่วยแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายได้ด้วย
มาตรการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในเมือง ประเทศไทย
- มาตรการระยะสั้น และการให้ประกันตัว
กลุ่มผู้เปราะบาง เช่น เด็ก ผู้หญิง ผู้ป่วยหนัก ผู้สูงอายุ สามารถได้รับการปล่อยตัว และประกันตัว รวมทั้งการลดเงินประกัน และกลุ่มผู้ลี้ภัยเข้าเมืองผิดกฎหมายสามารถได้รับการประกันตัวตามมาตรา 54 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
- มาตรการระยะยาว
ดำเนินการจัดทำระบบคัดกรองและกำหนดสถานะบุคคลตามมติครม.วันที่ 10 มกราคม 2560 โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการผ่านคณะอนุกรรมการ 3 ชุด ประกอบด้วย
คณะกรรมการคัดกรองด้านความมั่นคง คณะอนุกรรมการดูแลช่วยเหลือผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และผู้ลี้ภัย คณะอนุกรรมการด้านอุทธรณ์การอนุญาตให้อยู่ชั่วคราวในประเทศไทย
โดยภาครัฐสนับสนุนความมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการดำเนินการในคณะอนุกรรมการทั้ง 3 ชุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกภาคส่วน
ที่มา : Asylum Access Thailand และเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ
“ศรีสุราษฎร์โมเดล” ปลดล็อก “คนนอก” ให้เป็นเพื่อนมนุษย์
การดิ้นรน หนีตายจากแผ่นดินเกิดที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของตัวเองจะไปจบลงตรงไหนในวันพรุ่งนี้
สำหรับประเทศไทยเอง วันนี้ท่าทีของรัฐบาลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนกลุ่มนี้จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น หากแต่รูปธรรมในกระบวนการดำเนินการยังเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายตั้งคำถาม โดยเฉพาะในมุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ “ความมั่นคง” ได้กลายเป็นกำแพงที่กั้นไม่ให้ “มองเขาให้เห็นเรา”
แต่ที่สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ หรือ บ้านศรีสุราษฎร์จ.สุราษฎร์ธานี กำแพงเหล่านั้นได้ถูกทลายลงอย่างราบคาบนานแล้ว
สุดารัตน์ งามสวัสดิ์ ผู้อำนวยการบ้านศรีสุราษฎร์อธิบายถึงมุมมองตั้งต้นว่าการเคลื่อนย้ายของผู้คนในสภาวะไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นภัยสงคราม หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาลดลง
ขณะที่อีกบทบาทในฐานะความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐสำหรับเธอก็คือการหาที่พักพิงที่เหมาะสมกับสถานภาพความเป็นอยู่เท่าที่ปัจจัยในการใช้ชีวิต และจุดหมายปลายทางของแต่ละคนจะเอื้ออำนวย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม เมื่อปี พ.ศ.2556 ที่นี่จึงได้รับเด็กและสตรีชาวโรฮิงญา มาพักพิง จำนวน 55 คน
เมื่อความสำเร็จไม่ได้มาภายในวันเดียว หรือใครเพียงคนเดียว แต่มันคือการทำงานเป็นทีมภายใต้เจตนารมณ์เดียวกัน คือ “ไม่เลือกปฏิบัติ”
แรงเสียดทานที่เกิดจากทั้งการแทรกแซงของขบวนการนายหน้าทัศนคติที่ไม่ดีจากผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจากหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง องค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้กระทั่งชุมชนโดยรอบที่ค่อยข้างใหม่กับเรื่องนี้ กระทั่งความแตกต่างระหว่างภาษา ความเชื่อ วิถีชีวิต ได้กลายเป็นสิ่งที่ต้องฝ่าฟันจนนำไปสู่การเรียนรู้ และหาวิธีจัดการร่วมกันได้ในที่สุด
“คุณจะปล่อยให้เด็กคนหนึ่งออกมาวิ่งเล่น
แต่อีกคนต้องกักอยู่เหรอ มันก็ไม่ใช่”
“หลายคนอาจจะมองว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนที่เข้ามาสร้างปัญหา แต่ในมุมคนทำงานด้านสังคมสงเคราะห์นี่เป็นสิ่งที่จะต้องขับเคลื่อนไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ เครื่องมือที่มีก็คือการเข้าหาเพื่อแลดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราพยายามทำตรงนี้มันเป็นไปได้”
..โดยเฉพาะเด็กๆ
“คุณจะปล่อยให้เด็กคนหนึ่งออกมาวิ่งเล่น แต่อีกคนต้องกักอยู่เหรอ มันก็ไม่ใช่” ผอ.สุดารัตน์ยืนยัน
เธอคิดว่า เด็กก็คือเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่หลบหนีเข้าเมืองหรือเด็กที่เป็นเหยื่อ แต่สิทธิที่เขาพึงมีก็ยังต้องมีอยู่ ทางบ้านจึงมีการนำเอา พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เข้ามาใช้ โดยเฉพาะการเอาใจใส่ดูแลตามมาตรา 23
“ไม่ว่าใครจะว่ายังไง แต่คุณค่าความเป็นเด็กก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราต้องรักษาไว้ “
นอกจากปัจจัย 4 ที่ทางบ้านสนับสนุนแล้ว การเข้าสู่กระบวนการให้การศึกษาก็ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
“อย่างน้อยต้นไม้ต้นนี้จะต้องโตขึ้นมา ช้าเร็วไม่ว่ากัน อย่างน้อยเขาก็จะไม่กลับมาอยู่ในวังวนทำนองนี้อีก และสุดท้ายปัญหาทุกอย่างก็จะถูกคลี่คลายไปในทางที่ดีในที่สุด” ผอ.บ้านศรีสุราษฎร์คนเดิมยืนยัน
ในวันที่ สภาพปัญหาเริ่มส่งเค้าลางมาให้เห็นหลังจากหายไปร่วม 3 ปี วันนี้ ไทยยังคงเป็น “ทางผ่าน” เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือรูปแบบการเคลื่อนย้ายที่ซับซ้อนขึ้น อีกทั้งความเสี่ยงที่คนกลุ่มนี้จะตกอยู่ในกระบวนการค้ามนุษย์ก็มีมากขึ้น
ตรงนี้จึงกลายเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ที่เราจะย้อนมาตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า ถึงเวลาที่ไทยควรจะมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับกลุ่มผู้ลี้ภัยที่เรื้อรังมาตลอดแล้วหรือยัง