ความสุขและความสำเร็จ

ความสุขและความสำเร็จ

เทคโนโลยีมีบทบาทต่อการเรียนรู้ของเด็กในยุคปัจจุบันจนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว แต่การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปก็อาจส่งผลร้ายในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะพ่อแม่รุ่นใหม่ที่ให้อิสระกับลูกในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจนเกินพอดี

เพราะอัตราการใช้โซเชียลมีเดียของไทยนั้นสูงติดอันดับโลกมานานหลายปี สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ใช้เวลาในโลกออนไลน์มากเกินไป จนส่งผลถึงเด็กรุ่นใหม่ที่อาจปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์เป็นหลัก

เช่นเดียวกับพ่อแม่ก็ล้วนใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากขึ้น การใช้ชีวิตที่บ้านของแต่ละครอบครัว จึงเป็นเหมือน “จอใครจอมัน” คือต่างใช้ชีวิตแยกกันในโลกออนไลน์แม้จะอยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็ตาม ซึ่งนั่นทำให้คุณค่าของครอบครัวลดลงทีละน้อยๆ

เช่นเดียวกับความสุขของครอบครัวที่อาจลดลงไปโดยเราไม่รู้สึกตัว เพราะเมื่อเรามัวใส่ใจแต่เรื่องของคนบนโลกออนไลน์ เราก็ย่อมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว คนเป็นพ่อแม่จึงต้องใส่ใจในเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้นและตัวเองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกก่อนที่จะสอนลูก

ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักให้ดี นับตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตคู่ด้วยกันใหม่ ๆ เพราะเมื่อตกลงปลงใจแต่งงานกันแล้ว คำว่าครอบครัวไม่ได้มีความหมายแค่สามี-ภรรยาอีกต่อไป แต่เป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นและมีลูกที่เราต้องฟูมฟักเลี้ยงดูเขาไปอีกตลอดชีวิตด้วย

แต่การจะสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูก จะไปคาดหวังว่าลูกจะมีความสุขด้วยการป้อนทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดให้กับเขาเพียงแค่นั้นไม่ได้ เพราะความสุขของลูกล้วนได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ทั้งนั้น

เพราะเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ทำร้ายกัน หรือมีประวัติใช้ความรุนแรงในครอบครัว เด็กย่อมเกิดมาโดยมีแผลในใจที่ยากจะลบเลือนและส่งผลต่ออนาคตของเขาอย่างแน่นอน

การปลูกฝังให้ลูกใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข จึงต้องเริ่มที่ตัวพ่อแม่ก่อนเสมอ เพราะเมื่อครอบครัวเป็นสุข ความรักและความห่วงใยใส่ใจก็จะถูกถ่ายทอดมาถึงลูก สร้างให้เขาเป็นเด็กที่มองโลกในแง่บวก มองเห็นโอกาสมากกว่าปัญหา จึงย่อมมีอนาคตดีขึ้นเมื่อเทียบกับเด็กที่ขาดโอกาสเหล่านี้

ลองคิดถึงพ่อแม่ที่มองทุกอย่างในแง่ลบ บ่นทุกเรื่องทุกอย่างที่พบเจอ ไม่เคยพอใจกับคู่ชีวิต ชอบเปรียบเทียบลูกตัวเองกับเด็กอื่นที่เก่งกว่า ฯลฯ เด็กๆ ก็ย่อมซึมซับนิสัยเหล่านี้เข้าไปทีละน้อยๆ จนกลายเป็นคนคิดลบ มองเห็นแต่ปัญหาและข้อจำกัดจึงแทบจะไม่มีโอกาสในการเติบโต

การเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกจึงเป็นสิ่งแรกที่พึงต้องทำหากคิดจะสร้างอุปนิสัยที่ดีให้กับลูก เพราะการเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นการปลูกฝังความคิดที่ดีที่สุด อย่าอ้างว่าไม่มีเวลาหรือไม่มีโอกาส เพราะการจัดสรรเวลาให้กับลูกเป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่อาจมีอย่างอื่นมาทดแทนได้

ไม่ต่างอะไรกับการคิดที่จะรักษาลูกที่ป่วยอยู่โดยที่ตัวเราเองก็ป่วยด้วย หนทางที่ดีที่สุดคือการรักษาตัวเองให้ดีที่สุดจนมีกำลังมากพอที่จะมารักษาลูก เช่นเดียวกับการสาธิตการใช้หน้ากากออกซิเจนฉุกเฉินบนเครื่องบินที่เจ้าหน้าที่ต้องย้ำทุกครั้งว่าสวมให้ตัวเอง ก่อนจะสวมให้เด็กเสมอ

คำถามจากเด็กยุคใหม่ว่าทำไมต้องกตัญญู ทำไมต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ฯลฯ จะไม่เกิดขึ้นเลยหากเราใส่ใจเลี้ยงดูลูกอย่างอบอุ่น และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขาสม่ำเสมอ 

ด้วยการจัดสรรเวลาให้เหมาะสม ตัดกิจกรรมทั้งหลายที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น การใช้เวลากับโซเชียลมีเดียอย่างเปล่าประโยชน์ เปลี่ยนเป็นการปลูกฝังความคิดที่ดี และบ่มเพาะให้เขาเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ เป็นเด็กที่มีความสุขในครอบครัวที่มีความสุข ซึ่งนั่นจะเป็นของขวัญที่เขาต้องการมากที่สุด