จีน-ไทยเคียงบ่าเคียงไหล่ จับมือต่อสู้กับโรคระบาดโควิดเสริมสร้างมิตรสัมพันธ์แน่นแฟ้นดั่งญาติสนิทมิตรสหาย

จีน-ไทยเคียงบ่าเคียงไหล่ จับมือต่อสู้กับโรคระบาดโควิดเสริมสร้างมิตรสัมพันธ์แน่นแฟ้นดั่งญาติสนิทมิตรสหาย

นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทั้งประเทศจีนและประเทศไทยได้ประสบกับสถานการณ์โรคระบาดเชื้อไวรัสปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้ยึดมั่นในหลักการ “ไทย-จีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” อันเป็นประเพณีแห่งมิตรภาพอันดีงาม คอยสนับสนุนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ฟันฝ่าอุปสรรคที่เผชิญหน้าร่วมกัน สร้างบทกวีอันน่าประทับใจยิ่งในการร่วมมือกันต่อต้านผลกระทบของภัยร้ายโรคระบาดในครั้งนี้

การที่ประเทศจีนและประเทศไทยได้จับมือกันต่อสู้กับภัยโรคระบาดในครั้งนี้ ได้สะท้อนถึงสัจธรรมอย่างหนึ่ง นั่นคือ “ความจริงใจมักจะพบเห็นได้ในยามที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข” ในขณะที่นครอู่ฮั่นและมณฑลหูเป่ยได้เริ่มประสบกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ประเทศไทยนอกจากได้นำข้อมูลที่ประเทศจีนได้ส่งมอบให้กับองค์การอนามัยโลก (WHO)มาประยุกต์ปรับใช้ เพื่อกำหนดเป็นมาตรการรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน ก็ได้ใช้มาตรการเชิงรุก มอบความช่วยเหลือและเยียวยาต่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติชุดแรกที่ได้ยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการรักษาอย่างดีจนหายขาด กลับสู่ประเทศอย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่พระราชวงศ์ รัฐบาลจนถึงสังคมทุกส่วน แม้แต่ประชาชนทั่วไป ต่างได้แสดงน้ำใจอย่างล้นหลาม หยิบยื่นการช่วยเหลือสนับสนุนต่างๆ สู่ประเทศจีน คำขวัญ “ประเทศจีนสู้ๆ อู่ฮั่นสู้ๆ”สามารถพบเห็นได้อย่างทั่วไปในประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รัฐบาลส่วนกลางจนถึงท้องถิ่นต่างๆ ได้ร่วมกันบันทึกภาพและคลิปวีดีโอ เพื่อแสดงน้ำใจสนับสนุนประเทศจีนให้ได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้โดยเร็ว นอกจากนั้น องค์กรภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศไทย ทั้งผู้ประกอบการและภาคส่วนประชาชนต่างระดมทุนและสิ่งของบริจาคส่งมาช่วยเหลือประเทศจีน สร้างขวัญกำลังใจให้ประเทศจีนในการต่อสู้กับโรคระบาด ในขณะที่ประเทศซีกโลกตะวันตกบางประเทศกลับใช้วิธีสร้างสถานการณ์ความเกลียดชังน่าสะพรึงกลัวและโยนบาปต่างๆ นานา อันเป็นการแสดงความไม่หวังดีต่อประเทศจีน แต่รัฐบาลและประชาชนของประเทศไทยกลับยืนยันในท่าทีความเป็นมิตรไมตรีอันดีกับประชากรชาวจีน ใช้ภาษาจีนแสดงน้ำใจและความหวังดีต่างๆ แม้แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ได้ยกเลิกค่าปรับชาวจีนที่พำนักในประเทศไทยเกินเวลาตรวจลงตราที่กำหนด เนื่องจากสาเหตุสุดวิสัยไม่สามารถกลับประเทศได้เพราะเที่ยวบินของสายการบินต่างๆ ถูกยกเลิกในช่วงการระบาดของโควิด-19 รวมถึงได้มอบความช่วยเหลือหลายด้านให้กับชาวจีนที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทย ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ล้วนได้ทำให้ประชาชนชาวจีนที่พำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งก่อนและหลังสถานการณ์โควิด-19 รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง และจะจดจำไมตรีจิตและน้ำใจอันดีงามของประเทศไทยนี้ตลอดไป

สุภาษิตโบราณของประเทศจีนมีคำว่า “รับประโยชน์มาแม้นเพียงน้ำหยดเดียว ก็ควรตอบแทนด้วยสายธารอันหลั่งไหล” ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณธรรมอันดีงามในประเพณีจีน ดังนั้น ในช่วงเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งประเทศไทยซึ่งเริ่มประสบภัยโรคระบาดโควิด-19 ระลอกแรก ฝ่ายจีนก็ได้เร่งตอบแทนในทันที หลายๆ ภาคส่วนได้ส่งน้ำใจกลับมาให้ความช่วยเหลือประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 อุปกรณ์การแพทย์ชุดแรกเพื่อช่วยเหลือประเทศไทยจากรัฐบาลจีนได้ส่งตรงถึงมือผู้รับผิดชอบในภาครัฐของประเทศไทย โดยติดฉลาก“จงไท่อี้เจียชิน” ซึ่งแปลว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” นอกจากนั้น องค์กรต่างๆ ของประเทศจีนที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มูลนิธิเพื่อการกุศลแจ็คหม่า มูลนิธิเพื่อการกุศลอาลีบาบา ธนาคารแห่งประเทศจีน ฯลฯ ได้ดำเนินการต่างๆ อย่างแข็งขัน จัดซื้อนำเข้าและส่งมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ทั้งอุปกรณ์การแพทย์และเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนชาวไทยและกองทัพไทยในการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้ส่งเครื่องบินลำเลียง Yun-20 สังกัดกองทัพอากาศจีน ขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ชุดใหญ่ เช่นเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ตรวจทดสอบ PCR หน้ากากอนามัย หน้ากากป้องกันใบหน้าและชุดสวมป้องกันสำหรับแพทย์และพยาบาล ฯลฯ บินตรงมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เพื่อนำส่งอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ดังกล่าว และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งก่อนถึงวันครบรอบ 45 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน รัฐบาลจีนได้บริจาคอุปกรณ์ช่วยเหลือชุดใหญ่เป็นชุดที่ 2 ให้กับประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยหน้ากากอนามัย 1.3 ล้านชิ้น ชุดตรวจทดสอบทางการแพทย์ 1.5 แสนชุดหน้ากากอนามัย N95 สำหรับการแพทย์ 7 หมื่นชุด และชุดสวมป้องกันอีก 7 หมื่นชุดให้กับรัฐบาลไทย โดย ฯพณฯ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เป็นตัวแทนของรัฐบาลไทย มารับมอบของบริจาคชุดนี้ด้วยตนเอง และท่านได้กล่าวชื่นชนความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือระหว่างสองประเทศในการร่วมกันต่อต้านรับมือโรคระบาดในครั้งนี้

ด้วยเหตุที่ประเทศจีนและประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือประชาชนทั่วไป ต่างเฝ้าคอยดูแลช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด รวมถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกันในการต้านภัยโรคระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้ทำให้สถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นในทั้งสองประเทศได้รับการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาอันสั้น สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขอันดีที่เอื้ออำนวยต่อการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อป้อนกันโรคระบาด รวมถึงเอื้อต่อการใช้มาตรการผ่อนปรนฟื้นฟูการทำงาน ฟื้นฟูภาคการผลิตและภาคเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

เพื่อควบคุมและยับยั้งป้องกันการระบาดระลอกใหม่ของโรคระบาดโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่ภาคสาธารณสุขและการแพทย์ของทั้งสองประเทศยังได้ดำเนินการร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้และข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ได้มีประชุมหารือกันทางระบบออนไลน์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในหัวข้อเรื่องการควบคุมเฝ้าระวังและนวตกรรมใหม่เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 ผู้เข้าร่วมการประชุมต่างเห็นว่า ประเทศจีนกับประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในการป้องกันและรับมือกับโรคระบาด โดยเฉพาะด้านการวิจัยพัฒนาวัคซีนและการแพทย์แผนโบราณ ซึ่งแต่ละฝ่ายล้วนมีความได้เปรียบ ทั้งยังได้เริ่มต้นกระบวนการความร่วมมือต่างๆ ไว้แล้วผู้เชี่ยวชาญทั้งสองประเทศเห็นว่า ในอนาคตข้างหน้า ทั้งสองประเทศควรดำเนินการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการวิจัยพัฒนาวัคซีนและการแพทย์แผนโบราณในการรับมือโรคระบาด เพื่อค้นหาจุดร่วมอันเป็นโอกาสการพัฒนาที่สำคัญ รวมถึงเป็นการสร้างรากฐานอันดีเพื่อความร่วมมือเชิงลึกในขั้นต่อไป

เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ควรดำเนินมาตรการผ่อนปรนอย่างไรเพื่อให้ฟื้นฟูภาคการผลิตและการทำงานทั่วไป ภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเคร่งครัดเป็นฐานวิถีชีวิตใหม่ พร้อมทั้งเร่งกระตุ้นการฟื้นฟูและพัฒนาภาคเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ

หน่วยงานและองค์กรภาคการค้าและการลงทุนของประเทศไทยและประเทศจีนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเสวนาทางออนไลน์ในหัวข้อเรื่องโอกาสและวิสัยทัศน์ในการลงทุนในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายไทยต่างมีความเห็นว่า สถานการณ์โรคระบาดในครั้งนี้กลับกลายเป็นโอกาสที่ช่วยเร่งการสร้างสรรค์ความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างสองประเทศให้เกิดขึ้นเป็นจริง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้กล่าวว่า ประเทศไทยและประเทศจีนเป็นภาคีความร่วมมือภาคเศรษฐกิจการค้าซึ่งกันและกันอย่างยาวนาน นักลงทุนชาวจีนยังคงเป็นเป้าหมายหลักของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ท่านได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมใหม่ของไทยที่รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษ เช่นเทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูง ฯลฯ ซึ่งยินดีต้อนรับผู้ประกอบการจีนเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ส่วนผู้บริหารฝ่ายจีนและผู้เข้าร่วมเสวนาก็ได้แสดงความคิดเห็นว่า ถึงแม้สถานการณ์โรคระบาดได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปทั่วโลก แต่เงื่อนไขพื้นฐานด้านความร่วมมือภาคเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนนั้น ยังคงมีแนวโน้มการพัฒนาไปในทางที่ดีในระยะยาวและมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศเป้าหมายการลงทุนที่เป็นเลิศในอุดมคติสำหรับผู้ประกอบการจีน ดังนั้น ประเทศจีนและประเทศไทยจะยังคงเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันโรคระบาดต่อไป มุ่งใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อสร้างความมั่นคงเสถียรภาพในห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน หน่วยงานด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุน รวมถึงวงการผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศจะยังคงร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น มุ่งค้นหาแนวคิดและวิธีการใหม่เชิงนวตกรรมภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตนเพื่อเน้นป้องกันโรคระบาดเป็นชีวิตวิถีใหม่ ขับเคลื่อนความร่วมมือภาคการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทยให้พัฒนาต่อเนื่องในเชิงลึก

วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของประเทศจีนได้โทรศัพท์พูดคุยกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยท่านสี จิ้นผิงได้กล่าวว่า ประเทศจีนยินดีที่จะเสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศไทยในด้านบูรณาการป้องกันโรคระบาด และพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูภาคการผลิตและมาตรการผ่อนปรนที่มีความปลอดภัยและเป็นระบบ ซึ่งจะรับประกันให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ประเทศจีนยังคงยึดมั่นในหลักวิสัยทัศน์โชคชะตากรรมร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแห่งมนุษยชาติ มุ่งจับมือกับสังคมสากลซึ่งรวมถึงประเทศไทย สนับสนุนให้องค์การอนามัยโลกสามารถแสดงบทบาทที่ดียิ่งขึ้น ขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดในระดับทั่วโลก เสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาเวชภัณฑ์และวัคซีนเพื่อต่อต้านโรคระบาด สร้างคุณูปการร่วมกันเพื่อพัฒนาภาคสาธารณสุขของทั่วโลก ส่วนพลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวว่าหวังว่าประเทศไทยจะสามารถร่วมกับประเทศจีนในการวิจัยคิดค้นวัคซีนและยาป้องกันรักษาโรคระบาด และใช้โอกาสที่ประเทศไทยกับประเทศจีนฉลองครบรอบ 45 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการนี้ ส่งเสริมมิตรไมตรีและเสริมสร้างความร่วมมือในเชิงลึกระหว่างสองประเทศ พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น ภาคเศรษฐกิจการค้า การสร้างนวตกรรมใหม่ การแก้ไขปัญหาความยากจน ฯลฯ ผู้นำประเทศทั้งสองประเทศได้ใช้โอกาสที่สำคัญนี้ในการร่วมขับเคลื่อนการต่อสู้กับโรคระบาด พร้อมทั้งได้ร่วมกันวางแผนระยะยาวเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสองประเทศในภายภาคหน้าด้วย

มองสู่อนาคต ประเทศจีนและประเทศไทยได้หวงแหนรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โรคระบาดในต้นปี 2563 เป็นต้นมา โดยทั้งสองฝ่ายใส่ใจเฝ้าดูและช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน ฝ่าฟันคลื่นลมอุปสรรคต่างๆ เสมือนอยู่บนเรือลำเดียวกัน เพื่อคลี่คลายความยากลำบากต่างๆ ร่วมกัน อันเป็นการชี้แนะทิศทางอย่างชัดเจนเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือเชิงภาคีแห่งยุทธศาสตร์อย่างถ้วนหน้าระหว่างสองประเทศ ให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มากขึ้นภายหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19ได้ผ่านไป อันจะทำให้มิตรไมตรีอันดีงามตามประเพณีระหว่างจีน-ไทย ที่ได้รับการเปรียบเปรยว่า“จีน-ไทยใช่อื่นไกล คือพี่น้อง” ได้รับการยกระดับต่อยอดขึ้นไปสู่ความแน่นแฟ้นฉันท์ญาติสนิทมิตรสหาย

ผู้เขียน :

Prof. Dr. Yang Baoyun
วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์