กองทุนเปิด บลจ.วรรณ สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

กองทุนเปิด บลจ.วรรณ  สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

โอกาสของการลงทุนในยุคปัจจุบัน ดูเหมือนจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศอีกต่อไป เพราะเมื่อมองออกไปรอบ ๆ ตัว เราต่างเห็นบริษัทระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งสามารถขยายธุรกิจของพวกเขาไปได้ทั่วโลก หรือก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในภูมิภาคของตัวเอง

ในปัจจุบันการจะลงทุนในบริษัทระดับโลกเหล่านี้สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น อย่างการเลือกลงทุนผ่าน บลจ.วรรณ ซึ่งนำเสนอทางเลือกผ่าน 3 กองทุนหลัก อย่าง กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG) กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ (ONE-GECOM) และกองทุนเปิด วรรณ ดิสคัพเวอรี่ (ONE-DISC) โดยแต่ละกองทุนนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป

ในส่วนของ ONE-UGG ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดนับแต่ต้นปีที่ผ่านมาถึง 26.89% (ณ 25 พ.ค. 2563) ขึ้นชื่อว่าเป็นกองทุนโกลบอล แน่นอนว่ากองทุนนี้เน้นการลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก โดยกองทุนจะนำเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 80% ของกองทุน ไปลงทุนกับกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Master Fund) คือ กองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) ซึ่งจดทะเบียนในสก็อตแลนด์ และถูกควบคุมดูแลโดย Financial Conduct Authority (FCA) ของสหราชอาณาจักร

กองทุนเปิด บลจ.วรรณ  สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

แนวทางการลงทุนของ LTGG จะเน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่นและมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นหุ้นที่มีนวัตกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต อาทิ กลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มค้าปลีกออนไลน์ เป็นต้น

สำหรับพอร์ตของ LTGG ณ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา จะเห็นว่าหุ้น 10 อันดับแรก ล้วนเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีของโลก นำโดยสองบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon และ Tesla ในสัดส่วน 9.10% และ 8.17% ตามลำดับ ถัดมาคือสองบริษัทเทคโนโลยีจากจีนอย่าง Tencent และ Alibaba ในสัดส่วน 6.82% และ 6.19% ส่วนอันดับ 5 เป็นอีกบริษัทเทคโนโลยีด้านการผลิตเครื่องมือถอดรหัสพันธุกรรม คือ Illumina ในสัดส่วน 4.43%

ส่วนหุ้นเทคโนโลยีที่ถือครองหลักอีก 4 ตัว ได้แก่ Facebook, Netflix, NVIDIA และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) นั่นเอง ขณะที่หุ้นอันดับ 10 ในพอร์ตของ Baillie Gifford คือ Dexcom ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับวัดระดับค่ากลูโคสในร่างกายสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กองทุน LTGG มีการลงทุนในหุ้นประมาณ 30-40 หลักทรัพย์ จากทั้งหมดในลิสต์ประมาณ 30-60 หลักทรัพย์ โดยจะลงทุนไม่เกิน 10% ของแต่ละบริษัท กระจายอยู่ในอย่างน้อย 6 กลุ่มอุตสาหกรรม และอย่างน้อย 6 ประเทศ

กองทุนเปิด บลจ.วรรณ  สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

เมื่อดูจากพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันเหล่านี้ เท่ากับว่าผู้ที่ลงทุนผ่าน ONE-UGG กำลังนำเงินไปลงทุนในบริษัทที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทที่เติบโตค่อนข้างโดดเด่นในระยะหลัง ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้ 17.73% ต่อปี โดยปี 2560 เติบโต 36.04% ปี 2561 ติดลบ 3.16% ขณะที่ปี 2562 เติบโต 21.26%

มาต่อกันในส่วนของกองทุน ONE-GECOM ซึ่งจะเน้นลงทุนในตราสารทุน และ/หรือกองทุนรวม ETF ทั่วโลก ในกิจการที่มีรายได้หรือได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

โดยกองทุนจะเน้นลงทุนเพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด โดยปัจจุบันเน้นลงทุนใน Amplify Online Retail ETF ประมาณ 70% และอีก 30% คัดเลือกหุ้นรายตัว โดยพิจารณาจาก 1.Amplify Online Retail ETF ที่มีอัตราการเติบโตเด่น เช่น Amazon, Alibaba และ Netflix 2.ในกิจการอื่นๆ ที่มีรายได้และ/หรือ ได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ เช่น Paypal และ 3.ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

จุดเด่นของกอง ONE-DISC คือโอกาสของการเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจ E-Commerce ทั่วโลก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะยังเติบโตในสองหลัก (Double digit) ในปี 2563 นี้ และอย่างน้อยในอีก 3 ปีข้างหน้า (ไม่รวมหมวดท่องเที่ยว) ซึ่งบริษัทที่กองทุนเลือกลงทุนนี้จะต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีจากธุรกิจออนไลน์ และมีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 300 ล้านดอลลาร์

กองทุนเปิด บลจ.วรรณ  สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

ในปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนของกองทุน Amplify Online Retail ETF ใน 5 อันดับแรก ถือหุ้นใน Stamps Com ทำธุรกิจออนไลน์โลจิสติกส์ สัดส่วน 4.97%, Wayfair ร้านขายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านออนไลน์ สัดส่วน 4.85%, ETSY ทำธุรกิจตลาดออนไลน์สำหรับสินค้า Handmade และ Vintage สัดส่วน 4.13%, CHEGG เป็นช่องทางการศึกษาออนไลน์ สัดส่วน 3.95% และ CHEWY ร้านขายอาหารสัตว์ออนไลน์ สัดส่วน 3.84%

นอกจากนี้ กองทุนยังได้ถือหุ้นรายตัวอื่นๆ อีก ได้แก่ สามบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Alibaba Group สัดส่วน 4.45% Amazon สัดส่วน 3.94% และ Netflix สัดส่วน 2.75% รวมถึงบริษัทอย่าง Delivery Hero ซึ่งทำธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ในยุโรป ในสัดส่วน 2.82%

ในแง่ผลตอบแทนของกองทุน ONE-GECOM ในปีนี้อยู่ที่ 26.12% เป็นรองเพียงแค่กองทุน ONE-UGG หากนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาได้ราว 1 ปี กองทุนมีผลตอบแทน 34.42%

สำหรับอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนคือ กองทุน ONE-DISC เป็นทางเลือกของนักลงทุนที่ต้องการเติบโตไปพร้อมกับบริษัทแห่งอนาคต ซึ่งในปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้เป็นบริษัทที่ใหญ่โตมากนัก แต่มีศักยภาพที่จะรอดพ้นจากการถูก Disrupted และมีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก

เมื่อพิจารณาจากดัชนี Russell 2500 ซึ่งเป็นตัวแทนของดัชนีหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐ เปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นขนาดใหญ่อย่าง S&P500 ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าดัชนี Russell ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 12.4% ขณะที่ S&P500 อยู่ที่ 11.8%

กองทุนเปิด บลจ.วรรณ  สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

ทั้งนี้ กองทุน ONE-DISC จะเน้นลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Worldwide Discovery ซึ่งเป็นกองทุนที่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดไม่เกิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ วันที่เริ่มลงทุน โดยเน้นบริษัทที่มีนวัตกรรมหรือมีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น อาทิ ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า, การพิมพ์ 3 มิติ, ร้านค้าออนไลน์, เทคโนโลยีการแพทย์ เป็นต้น

ณ ปัจจุบัน กองทุนนี้เน้นการลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรม เฮลธ์แคร์ 34.5% สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น 22% เทคโนโลยีสารสนเทศ 20.9% การเงิน 10.7% และสื่อสาร 4.3% โดยสัดส่วนเงินลงทุน 60.5% อยู่ในสหรัฐ รองลงมาคือสหราชอาณาจักร 12.3%

สำหรับ 5 อันดับแรกของหุ้นในพอร์ตของกองทุน ได้แก่ Ocado สัดส่วน 7.4% เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ, Market Axess สัดส่วน 6% เป็น Fintech ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายตราสารหนี้ทั่วโลก, Alnylam Pharmaceuticals สัดส่วน 5.4% บริษัทวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม, Tesla สัดส่วน 4.7% ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และ Teladoc สัดส่วน 4.4% ให้บริการทางการแพทย์ โดยผู้ใช้บริการสามารถพบแพทย์ได้ทางออนไลน์

กองทุนเปิด บลจ.วรรณ  สร้างผลตอบแทนด้วย Global Stock

สำหรับผลตอบแทนของ กองทุน ONE-DISC นับแต่จัดตั้งกองทุนตั้งแต่เดือน พ.ย. 2562 อยู่ที่ 22.12% หากมองเฉพาะผลตอบแทนในปีนี้จะอยู่ที่ 18.35%

กองทุนทั้งสามของ บลจ.วรรณ ที่กล่าวไปนี้ เป็นกองทุนเปิดซึ่งผู้ลงทุนสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ตลอดเวลา และเป็นกองทุนแบบไม่จ่ายเงินปันผล ซึ่งมีข้อดีคือ ผลกำไรที่กองทุนทำได้จะถูกสะสมไว้ในมูลค่าสุทธิ (NAV) ของกองทุน ฉะนั้นแล้วผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าแบบจ่ายเงินปันผล เพราะจะไม่ถูกหักภาษีในส่วนนี้

โดยรวมแล้วกองทุนทั้ง 3 ที่ว่ามานี้ ถือเป็นทางเลือกการลงทุนและกระจายความเสี่ยงที่ค่อนข้างน่าสนใจ แม้อายุของกองทุนจะถือว่ายังน้อย แต่ก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างโดดเด่น