ชวนนักดื่มพักตับ กับมิชชั่น Virtual Run 90 วัน 90 กิโลเมตร
ใครๆ ก็รู้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีแต่ “เสีย” กับ “สูญเสีย”
นอกเหนือจาการที่คนไทยเสียชีวิตจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปีละมากกว่า 26,000 คน ทั้งด้วยสาเหตุ “เมาแล้วขับ” ที่ทำให้อุบัติเหตุทางถนนสูงติดอันดับโลก ไม่รวมบาดเจ็บและพิการอีกมากมาย ไปจนถึงปัญหาสังคม ซึ่งหากจะคิดมูลค่าความเสียหายปีละมากกว่า 2 แสนล้านบาท
แม้แต่ในระดับปัจเจกบุคคลเอง การดื่มแอลกอฮอล์ ก็ยังเป็นต้นเหตุสำคัญของการเสียสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะแอลกอฮอล์มีผลกระทบโดยตรงต่อ “ตับ” ที่คร่าชีวิตคนไทยมาแล้วไม่น้อยเช่นกัน
“ตับ” พระเอกผู้รับบทหนัก
“ตับ” เป็นอวัยวะที่อยู่ชายโครงด้านขวา เป็นอีกหนึ่งอวัยวะในร่างกายเราที่ต้องรับบทหนักที่สุด
หน้าที่ของตับนั้น เป็นแหล่งผลิตและสะสมพลังงาน กำจัดของเสียออกจากร่างกาย
เรียกว่าทุกครั้งที่ร่างกายย่อยและดูดซึมอาหารจากกระเพาะอาหารและลำไส้ สารอาหารและวิตามินจะถูกตับสะสมและปรับเปลี่ยนดัดแปลงไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกาย และสะสมเป็นพลังงานเพื่อใช้ในคราวจำเป็น รวมทั้ง แยกกรอง กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย และผลิตน้ำย่อย เรียกว่าน้ำดี เพื่อย่อยสารอาหารจำพวกไขมันผ่านทางท่อน้ำดี เพื่อย่อยไขมันในลำไส้ ตับจึงเหมือนบ่อบำบัดน้ำเสียที่ต้องคอยกรองสิ่งที่ดีออกจากร่างกายตลอดเวลา
โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากมีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะทำให้เกิดผลเสียต่อตับในระยะยาว เกิดการสะสมของพังผืดและทำให้ตับแข็ง
การดื่มที่ “ถี่” เกินไป จะไปทำร้ายเซลล์ของตับได้ และยังเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคตับ ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็ง ตับวาย รวมถึงมะเร็งตับตามมา
แต่ทุกคนอย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง นั่นคือ ถ้าหากเรามีการเว้นระยะหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์ ตับก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ แม้จะเริ่มตับแข็งก็ยังฟื้นได้ในระดับหนึ่ง เพียงเริ่มหันมา“พักตับ” อย่างจริงจัง
“ตับ” เองก็ต้องพัก
ในช่วงปีที่ผ่านมา หลายคนอาจได้ยินวาทกรรม “พักตับ” ที่กลายเป็นกระแสกระตุกใจชาววัยทีนไม่น้อย
แนวคิดดังกล่าวเกิดจากไอเดียของสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ต้องการกระตุ้น และปลุกกระแสการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา พร้อมทั้งเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หันมาตั้งใจดูแลสุขภาพ ลด ละ เลิกแอลกอฮอล์และอบายมุข ร่วมส่งเสริมค่านิยมการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในห้วงเวลา 3 เดือน
“พักตับ” นอกจากจะหมายถึงการงดดื่มเหล้าช่วงเข้าพรรษาแล้วยังสื่อเรื่องการหันมาดูแลตับของเราให้อยู่ไปนานๆ
วิ่งพักตับ 90 วัน
จากความสำเร็จของการรณรงค์ปีที่ผ่านมา ทำให้ใกล้ฤดูกาลเข้าพรรษาที่กำลังจะเวียนมาครบรอบในปีนี้ ทาง สคล. และ สสส. จึงขอผลักดันงานรณรงค์งดเหล้ากันอีกครั้ง โดยจัดกิจกรรม “วิ่งพักตับ ปอดขยับตับพักผ่อน Season 2” ปี 2562 สำหรับปีนี้ได้สอดแทรกความแปลกใหม่ของกิจกรรม ด้วยการหยิบเทรนด์ Virtual Run ที่กำลังได้รับความสนใจมาชวนทุกคนวิ่งในมิติใหม่ และช่วยสร้างสีสันและความคึกคักให้คนไทยสามารถวิ่งพักตับสะดวก ง่ายกว่าเดิม ในชื่อกิจกรรม “วิ่งพักตับ 90K. 90 days ตับ..จะกลับมาดี เริ่มวันนี้งดเหล้า”
ธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า สคล. และสสส.ได้เริ่มรณงค์งดเหล้าเข้าพรรษามาตั้งแต่ปี 2546 มีการรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนตระหนักและร่วมงดเหล้าเข้าพรรษามาหลายวิธี หลายรูปแบบ สำหรับปีนี้ด้วยกระแสสุขภาพที่มาแรง ทางสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า เครือข่ายเยาวชน SDN ชมรมคนหัวเพชร และภาคีเครือข่ายร่วมจัด โครงการเดิน-วิ่งรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา “วิ่งพักตับ ปอดขยับตับพักผ่อน Season2 ปี2562 ” ตอน “วิ่งพักตับ 90 k. 90 days ตับ...จะกลับมาดี เริ่มวันนี้งดเหล้า”
ซึ่งนอกจากจะการวิ่งแบบ VIRTUAL RUN (วิ่งเก็บระยะ) ยังมีกิจกรรมวิ่งสนามจริง วิ่งพักตับฯใน 9 ภาค 10 พื้นที่ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หันมา รักสุขภาพ ใช้โอกาสเข้าพรรษานี้ตั้งใจดูแลสุขภาพลดละเลิกอบายมุข
“สสส. และสคล. พยายามหาแนวทางรณรงค์ใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้คนที่ตั้งใจงดเหล้าเข้าพรรษาตลอด 3 เดือนไม่หันกลับไปหาเหล้าเบียร์อีก แคมเปญ “วิ่งพักตับ” จะเป็นกิจกรรมใหม่ในช่วงเข้าพรรษา ให้คนหันมาดูแลรักษาสุขภาพด้วยกิจกรรมการออกกำลังกายเดินวิ่งพร้อมไปกับการลดละเลิกเหล้า ซึ่งเป็น 2 เรื่องที่ทำพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน และการเดินวิ่งนั้นเป็นการดูแลสุขภาพที่ทำได้ง่าย ใช้อุปกรณ์น้อยชิ้น เป็นเทรนด์สุขภาพที่สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในทุกพื้นที่” ธีระ กล่าว
ด้าน ครูดิน หรือ สถาวร จันทร์ผ่องศรี อดีตนักวิ่งมาราธอนทีมชาติไทย และยังเป็นครูผู้สร้างนักวิ่งหน้าใหม่ในการดูแลสุขภาพร่างกาย กล่าวว่า ตับคนเรามีความมหัศจรรย์ คือฟื้นฟูตัวเองได้ เมื่อเราออกกำลังกายไป และให้เขาได้รับ สารอาหารที่ดี จะทำให้เขาลดปริมาณของเสียที่ต้องกำจัดทิ้ง ไม่ต้องทำงานหนัก
“เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นจังหวัดอันดับต้นๆ ที่มีปัญหาผู้ดื่มสุรามากที่สุด ผลวิจัยนั้นค้นพบว่าคนที่ไม่ดื่มสุราภายใน 3 เดือน หรือเขาได้พักตับ สามารถมีวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงมีสุขภาพดีขึ้น ผิวพรรณ อาการนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิทก็ดีขึ้น
“หากถามว่าระหว่างพักตับเฉยๆ กับพักตับแล้วออกกำลังกายด้วยต่างกันไหม ผมยกตัวอย่างนะ ถ้าเราพักตับอย่างเดียว ไม่ออกกำลังกาย ก็เหมือนเราไม่ได้เติมสารหรือสิ่งที่เป็นพิษเข้าไปสู่กระบวนการทำงานของตับ ตับก็จะกลับมาทำงานดีขึ้น แต่ในกระบวนการสกัดแอลกอฮอล์ของตับจะเกิดสารพิษ ที่ทำลายผิวตับ ให้ตับอักเสบและทำให้เก็บสะสมไขมันที่ตับไว้ และอาจพัฒนาไปเป็นตับแข็งและตับวาย”
การออกกำลังกายจะยิ่งช่วยให้มีการดึงไขมันที่พอกตับไปใช้ จะลดไขมันที่พอกตับลง เมื่อสารอาหารต่างๆ เข้าสู่ตับก็จะได้รับเต็มๆ มีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้เรื่องโภชนาการก็มีความสำคัญ เพราะมีส่วนช่วยการบำรุงตับ เช่น การบริโภคอาหารมีโฟเลทสูง กากใย ผักผลไม้ โปรตีน และลดในส่วนที่มีไขมันและอาหารรสจัด
“เมื่อคุณออกกำลังกายต่อเนื่องๆ จะเป็นนิสัย ในหลักวิชาการ 21 วัน แต่จริงๆ แล้วอาจ 29-30 วัน ร่างกายจะคุ้นชิน และเริ่มปรับเปลี่ยน คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี โดยจะมีการซ่อมแซมสร้างเสริม ชดเชยสิ่งที่เราเอาเข้าหรืออกไป เมื่อแข็งแรงสมบูรณ์ สกัดส่วนที่เคยมีสารพิษ พอเราเอาเข้าไปอีกจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านนิดๆ นี่คือความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์” ครูดินอธิบาย
“แต่สำหรับคนที่เป้าหมายเรื่องสุขภาพที่ดีของตัวเองอยู่แล้ว คุณสามารถเริ่มต้นวันนี้ได้เลย”
ครูดินแนะเคล็ด นักวิ่งหน้าใหม่
“การออกกำลังกายทุกประเภทมีผลดีต่อสุขภาพ แต่การวิ่งเป็นกิจกรรมที่ง่ายที่สุด ใครเดินได้ ก็วิ่งได้ เป็นกิจกรรมที่ไม่ซ้ำซ้อน ไม่ใช้เทคนิคเยอะ หากเราวิ่งอย่างต่อเนื่องสัก 5-6 วันเราจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนปลง ไม่เฉพาะร่างกายและเป็นทางจิตใจ” ครูดินให้ข้อมูล
“ในกรณีนักวิ่งหน้าใหม่ให้เริ่มจากเดินก่อน” ครูดินแนะนำต่อว่า “แล้วค่อยเพิ่มอัตราความเร็วและระยะเวลามากขึ้น จากนั้นก็เดินช้าสลับเดินเร็ว แล้วค่อยๆ ลดการเดินช้าลง จนสามารถที่เราจะเดินเร็วได้อย่างต่อเนื่อง 20 นาที แล้วจึงเพิ่มเลเวลให้สลับกับเดินเร็ว และค่อยๆ เพิ่มการวิ่งมากขึ้น”
แต่สิ่งสำคัญ เราต้องรู้ข้อจำกัดของร่างกายตัวเอง ว่าควรออกกำลังกายมากน้อยแค่ไหน เพื่อความปลอดภัย
“ถ้าเป็นไปได้ ควรพบแพทย์ ไม่ได้หมายความว่าเราผิดปกติ แต่การพบแพทย์จะทำให้เราวางแผนความหนักเบาของการออกกำลังกายที่ปลอดภัย”
การออกกำลังกายมีความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง เพราะจะส่งผลให้สมรรถภาพหรือกลไกการทำงานร่างกายมีการปรับเปลี่ยน และจะมีปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งที่เป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
ครูดินยกตัวอย่างว่า ถ้าคนดื่มเหล้า เมื่อได้มาออกกำลังกายแข็งแรงแล้ว หากกลับไปดื่มอีกร่างกายเราจะมีปฏิกิริยา ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮฮอล์ หรือบุหรี่ เพราะมันระคายเคืองต่อการดำรงชีวิต
“การออกกำลังกายไม่มีข้อห้าม แต่มีข้อจำกัดสำหรับคนที่มีโรคภัย ซึ่งมีภาวะขีดจำกัด อย่างเช่น เบาหวาน หัวใจ ความดัน เป็นต้น ควรเลือกการเคลื่อนไหวที่หลีกเลี่ยงไปกระทบกับส่วนที่ร่างกายกำลังบอบช้ำอยู่ หรืออย่าหักโหมมากนัก คนที่เป็นพิษสุราเรื้อรังหรือตับแข็งก็สามารถพอออกกำลังกายได้ เพียงแต่วางแผนให้เหมาะสม”
ที่สำคัญเมื่อคนเรารู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้น จะทำให้เราสามารถจัดสรรการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การทำงาน และนี่เป็นที่มาของวิ่งเปลี่ยนชีวิตนั่นเอง