การติดตามภาพใบหน้าและข้อมูลอัจฉริยะ ช่วยให้เราปลอดภัยได้อย่างไร ภายใต้การสวมหน้ากาก

การติดตามภาพใบหน้าและข้อมูลอัจฉริยะ ช่วยให้เราปลอดภัยได้อย่างไร ภายใต้การสวมหน้ากาก

มร.อเลสซานโดร ชิเมรา ผู้อำนวยการฝ่ายการวางกลยุทธ์ด้านระบบดิจิทัล บริษัท TIBCO  

 

ความจำเป็นในการสวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกันบนใบหน้ารูป ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 2563  เป็นต้นมา บางทีอาจต้องกลับมาคิดใหม่ว่า สิ่งเหล่านี้ใช่ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีด้านสุขภาพ หรือเป็นนวัตกรรมด้านดิจิทัลหรือไม่ หากไม่นับรวมการพัฒนาต้นแบบของ “หน้ากากอัจฉริยะ” ที่สามารถใช้ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้  แน่นอนว่า ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์แพร่ระบาดทั่วโลก หลายคนมักคุ้นชินกับการสวมหน้ากากบางรูปแบบ เช่น หมวกกันน็อค หรืออุปกรณ์ป้องกันสวมศีรษะ เสื้อแจ็คเก็ต ถุงมือ หรือแม้กระทั้งชุดเกราะซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสายงานที่ปฎิบัติ

อุปกรณ์ที่กล่าวมาเกือบทั้งหมดนั้นอาจดูไม่ได้มีเทคนิคการสวมใส่ที่ยุ่งยาก แต่ทว่าขณะนี้สิ่งที่เรากลับกังวลมากสุด คือเรื่องการใช้งานและความจำเป็นในการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันแต่ละชิ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดคำถามที่ว่าแล้วจะมีเทคโนโลยีอะไรที่จะมาช่วยให้ทุกคนปลอดภัยมากขึ้นเมื่อต้องสวมหน้ากากได้จริงๆ

 

ประมวลผลภาพอัจฉริยะ Image Intelligence วิธีที่เหนือกว่าการใช้ RFID

ในอดีต เราอาจเคยใช้เทคโนโลยีระบุข้อมูลแบบ RFID เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์และคนที่สวมอุปกรณ์ในที่ทำงาน แม้ว่า RFID จะมีความชาญฉลาดและมีอรรถประโยชน์มากมายก็ตาม แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน เพราะอุปกรณ์ป้องกันบางชนิดก็ใช้แล้วทิ้งจึงไม่จำเป็นต้องใช้ระบบ RFID ซึ่งหลักสำคัญที่ระบบติดตามด้วยสัญญาน RFID จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ปฏิบัติงานกำลังสวมใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันได้อย่างถูกวิธีหรือไม่  

 

ฟังดูแล้วอาจแปลก ๆ แต่การใส่เสื้อแจ็คเก็ตป้องกันผิดวิธีก็อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาจจะลืมรูดซิป หรือลืมสวมเสื้อชูชีพไว้ข้างนอกเมื่ออยู่ที่ทะเล หรือผู้ปฏิบัติงานแขวนหมวกนิรภัยไว้ที่เอวซึ่งก็ยังถือว่าดีที่พวกเขาเอาติดตัวไปด้วย แต่กลับใส่ไม่ถูกวิธี และมาถึงเรื่องที่พวกเราทราบกันดีว่า “การใส่หน้ากากป้องกันโรคโควิดไว้ใต้คาง โดยไม่ปิดปากและจมูกก็นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน”ล่าสุด ได้มีการริเริ่มนำร่องการใช้งานต้นระบบซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพเพื่อจับภาพพฤติกรรมผู้สวมใส่หน้ากากและเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันในที่ทำงานรวมถึงสถานที่อื่นๆ

 

การเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดหนิ่งระหว่างมนุษย์ดับระบบดิจิทัล

ในขณะนี้มีการอ้างอิงถึงโครงการนำร่องต่างๆที่น่าสนใจซึ่งได้นำไปใช้กับ้างแล้ว ทำให้สามารถใช้อธิบายกลไกของ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่งระหว่างมนุษย์กับดิจิทัล ที่เปิดรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI รวมกับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาประยุกต์ใช้ จะเห็นได้จาก อุตสหากรรมคมนาคมขนส่งกำลังให้ความสนใจ ถึงความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีและด้านกายภาพมาใช้ติดตามใบหน้าในช่วงที่โลกกำลังฟื้นตัวภายหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดไวรัส โดยได้ทดลองใช้วิธีการสร้างแผนภาพดูพฤติกรรม (Heatmap) ในกลุ่มผู้โดยสาร ด้วยการไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อให้เกิดการละเมิดข้อมูล ซึ่งเป็นการติดตามในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นผ่านเทคโนโลยีติดตามใบหน้าเพื่อวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงพฤติกรรมผู้โดยสารให้เห็นว่ากำลังใส่หน้ากากหรือไม่และได้ใส่อย่างถูกต้องหรือไม่

 

ระบบดังกล่าวนี้จะเน้นที่ผู้คนเป็นหลัก ไม่เน้นเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล โดยระบบนี้ยังสามารถสร้างชุดข้อมูลมหาศาลที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มผู้โดยสารกำลังทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน และทำอะไรภายในสถานีรถไฟ เรือสำราญ หรืออาคารผู้โดยสารในสนามบิน จากนั้นระบบซอฟต์แวร์จะทำการประมวลผลติดตามภาพใบหน้าด้วยวิธีการคำนวณที่มีชุดคำสั่งที่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเครากับหน้ากาก หน้ากากกับผ้าพันคอ รวมถึงรู้ถึงการสวมใส่หน้ากากได้ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง

 

กระบวนการนี้ยังสามารถป้อนข้อมูลผ่านวีดิโอสตรีมมิ่งแบบเรียลไทม์ได้ด้วย และสามารถใช้ AI มาทำการปรับปรุงพัฒนาอัลกอริธึมได้อย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้ เป็นการรับข้อมูลสดจากกล้องหลายตัวที่กำลังทำงานอยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นกล้องบนเพดาน ผนังตามพื้นที่สาธารณะ ดังนั้นทีมไอทีจะสามารถประยุกต์ใช้แบบจำลองทางสถิติที่เฉพาะเจาะจงจากระบบ AI ที่สร้างขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ถ่ายโอนมาเก็บไว้ และจำแนกแบ่งกลุ่มคนออกเป็น กลุ่มสวมหน้ากาก  กลุ่มไม่สวมหน้ากาก และกลุ่มใส่หน้ากากผิดวิธี

 

ข้อมูล: กับการเชื่อมต่อ แลกเปลี่ยน ผสานรวมการวิเคราะห์

เพื่อทำให้ระดับผู้ใช้ทั้งหมดสามารใช้ข้อมูลอัจฉริยะได้จริง ด้วยเทคโนโลยีหลังบ้านที่นำมาใช้เพื่อประโยชน์ได้จริง คือซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มข้อมูล ที่สามารถบริการจัดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การสตรีมมิ่งข้อมูล และการผสานรวมกันในการแลกเปลี่ยนรายละเอียดข้อมูลว่ากลุ่มคนใดกำลังสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเมื่อไหร่และที่ไหน แพลตฟอร์มข้อมูลจึงต้องสามารถรับข้อมูล ถ่ายโอนมาเก็บไว้ และรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งได้

 

แพลตฟอร์มข้อมูลยังต้องสามารถสื่อสารไปยังภายนอกและรายงานกลับมายังบุคคลได้ (หรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของพนักงานในพื้นที่ที่มีกลุ่มคนเดินทางไปมาหรืออยู่อาศัยได้) เพื่อแจ้งว่ากลุ่มคนเหล่านั้นละเมิดกฎข้อบังคับหรือไม่  รวมถึงระบบจัดการข้อมูลขององค์กร (Master Data Management หรือ MDM) นได้รับรู้ถึงกรณีต่างๆที่เกิดขึ้นกับ อุปกรณ์ป้องกันทุกประเภทที่ปรากฏขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการนำเทคโนโลยี Application Programming Interface (API) มาใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบคลาวด์จากภายนอกด้วย โดยเทคโนโลยีที่ได้นำเสนอไปทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความอัจฉริยะด้านข้อมูล การผสานรวม และกระบวนการวิเคราะห์

 

ตัวอย่างเหล่านี้ ไม่ได้ใช้แค่ติดตามผู้โดยสารในสนามบินถึงการใส่หน้ากากป้องกันไวรัสเท่านั้น ยังต่อยอดขยายความปลอดภัยไปสู่พื้นที่ก่อสร้าง แท่นขุดเจาะน้ำมัน งานระบบสาธารณูปโภค และสภาพแวดล้อมทางวิศวกรรมโยธาขนาดใหญ่อื่น ๆ ได้ด้วย ข้อดีของการนำระบบอัจฉริยะใช้เพื่อการเฝ้าระวัง การละเมิดกฎระเบียบ เพื่อช่วยลดอัตราการบาดเจ็บให้อยู่ในระดับต่ำ ช่วยลดการจ่ายค่าเบี้ยประกัน พนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจมากขึ้น

 

วิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลเชิงประวัติและข้อมูลแบบเรียลไทม์  

แนวคิดดังกล่าวนี้ รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน สามารถนำไปใช้ทำให้ชีวิตของประชาชนปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยจุดแข็งด้านความสามารถในการติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์นำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต ทำให้เกิดการเรียนรู้และเกิดความปลอดภัย เชื่อมั่นในการปฏิบัติงาน ซึ่งติดตามข้อมูล ณ เวลาปัจจุบันเทียบกับข้อมูลในอดีต ทำให้สามารถตรวจสอบและมองเห็น ติดตามพัฒนากการใส่หน้ากาก การสวมหมวกนิรภัย หรือสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ให้เห็นถึงรายละเอียดต่าง ๆ ว่า โลกกำลังหมุนไปในทิศทางใด เราสามารถเปลี่ยนโลกให้เป็นที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในอนาคต ด้วยข้อมูลที่กลายเป็นสิ่งพื้นฐานสำหรับนวัตกรรมทุก ๆ อย่างในวันพรุ่งนี้และในอนาคตข้างหน้า