จากทฤษฎี "ไปภูกระดึงกับคนรัก พอลงมา ถ้าไม่เลิกกันก็จะรักกันมากมาย" สู่แรงเชียร์ให้ "ตูน-ก้อย" ลงเอยด้วยข่าวดี ทฤษฎีนี้ใช้ได้จริงไหม จิตแพทย์ด้านความสัมพันธ์มีคำตอบ
หลังหยาดเหงื่อและกล้ามเนื้อสุดพังของเหล่านักวิ่งผู้ร่วมขบวน “ก้าว” ไปกับ ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย เสร็จสิ้นไปแล้ว เชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศคงแอบเชียร์ว่า เมื่อไหร่ “ตูน-ก้อย” จะประกาศข่าวดีกันเสียที
โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่า สาวตัวเล็กหน้าหวานอย่างก้อยสามารถเคียงข้าง สู้ไม่ถอยกับตูนได้ขนาดนี้ นอกจากจะลุ้นตัวโก่งแล้ว หลายคนคงแอบหวังว่า นี่จะเป็น “คู่รักตัวอย่าง” ที่จะจูงมือกันไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน
แต่!... เดี๋ยวนะ คุ้นๆ กันไหม กับทฤษฎี “คู่รักพิชิตยอดภูกระดึง” ที่ชอบพูดกันจังว่า คู่ไหนไปภูกระดึงด้วยกัน พอกลับลงมา ถ้าไม่เลิกกันไปเลย ก็จะรักกันยิ่งขึ้นกว่าเก่า
ทฤษฎีนี้มีมูลจริงไหม จุดประกายมีคำตอบจาก ศ.พญ.อุมาพร ตรังคสมบัติ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน จิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น การบำบัดครอบครัว (Family therapy) และการบำบัดคู่สมรส (Marital therapy) ที่ตอบว่า
“มันเป็นแค่ความคิดหรือการมองโลกสวยจนเกินไป”
ที่บอกว่า แสนจะ ‘Romanticize’ หรือโลกสวยนั้น ก็เพราะความรักไม่ได้อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เสมอไป และมันยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคู่รักว่าจะ “ยั่งยืน” แสนนานได้หรือไม่
ความลำบากก็มีประโยชน์
เพราะช่วยให้คู่รักเกิดความเข้าใจ
เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน
ปรับตัวเข้าหากันได้มากขึ้น
กรณีการร่วมฝ่าฟันบนเส้นทางวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าวของตูน-ก้อย นั้น ในความเห็นของ ศ.พญ.อุมาพร มองว่า เป็นเพียงความยากลำบากนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ยังไม่สามารถชี้วัดได้ว่า ทั้งคู่จะรักกันยั่งยืนจริงไหม
“ความลำบากก็มีประโยชน์ เพราะช่วยให้คู่รักเกิดความเข้าใจและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน ปรับตัวเข้าหากันได้มากขึ้น รู้จักนิสัยส่วนตัวมากขึ้น แต่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ลำบากที่แท้จริง
แม้กระทั่งในความยากลำบากสุดๆ ที่คู่รักหลายคู่เผชิญหรือฝ่าฟันกันมา เช่น คู่รักที่กัดก้อนเกลือกิน ร่วมกันก่อร่างสร้างฐานะขึ้นมากว่าจะสบายได้นั้น ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นหลักประกันถึงความยั่งยืนในความสัมพันธ์
มีงานวิจัยบอกว่า ผู้ชายที่มีเงินเยอะ มีอำนาจมาก ก็มีโอกาสจะนอกใจสูงขึ้น ฉะนั้นความรัก ความสัมพันธ์ จึงมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง”ศ.พญ.อุมาพร ขยายความ
พร้อมกันนี้ ยังให้คำแนะนำถึงคู่รักทุกๆ คู่ที่อยากจะรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงและยืนยาวว่า การทำความรักให้ดีก็เหมือนเรากำลังปั้นแจกัน เอาดินเหนียวมาก้อนหนึ่งขึ้นรูปปั้นเป็นแจกัน
แต่แจกันที่ปั้นขึ้นนั้นจะสวยงามและแข็งแรงได้อย่างไร ต้องขึ้นกับองค์ประกอบ 4 อย่าง
“อย่างแรก คือ คุณต้องมี ความรู้ ที่ดีพอ ต้องรู้ว่า ดินเหนียวมีลักษณะอย่างไร อ่อนนุ่ม แข็ง หรือ เหนียวแค่ไหน ต้องผสมน้ำเท่าไหร่
อย่างที่สอง คือ ต้องมี เทคนิค ทำอะไรไม่มีเทคนิคก็อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดีพอ เสียเวลาด้วย เหนื่อยด้วย การจะทำความรักให้ดี จึงต้องมีเทคนิคด้วย เช่น เทคนิคในการสื่อสาร เทคนิคในการจัดการความขัดแย้ง รู้จักที่จะอยู่ใกล้หรือห่างที่พอดี
อย่างที่สามคือ ต้องมี ศิลปะ ความรักแบบทื่อๆ เห็นมาหลายครอบครัวแล้วว่า ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข บรรยากาศในระหว่างคู่สมรส ส่งผลต่อบรรยากาศในครอบครัว ส่งผลต่อลูก การที่เราทำอะไรแบบไม่มีศิลปะ ใช้ชีวิตไปแบบแกนๆ วันๆ หนึ่งนั้น มันไม่พอแล้ว การที่เรามีศิลปะก็หมายถึงการใช้ศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ให้ออกมาดีที่สุด คู่สมรส คู่รักทุกคู่ มีความสามารถที่จะทำให้ความรักของเขาสวยงาม เป็นแจกันที่สวยงามได้ วางตั้งโชว์ได้
สุดท้าย คือ ต้องมี ความเพียรพยายาม ความรักเกิดขึ้นได้ง่าย แต่การจะทำให้ดำรงอยู่ไปอย่างมั่นคง ทำให้เรามีความสุขในชีวิตได้ ต้องอาศัยความเพียรจากทั้งสองฝ่าย รู้จักใส่ปุ๋ย พรวนดิน รู้ว่า ตอนไหนควรจะวางให้โดนแดด เอาใจใส่ เพียรพยายาม” อาจารย์หมอกล่าวสรุป
สรุปว่า ทฤษฎีภูกระดึง หรือจะถึงการวิ่งบนระยะทางกว่าสองพันกิโลเมตรนั้นก็คงจะชี้วัดปลายทางของคู่รักไหนๆ ไม่ได้.. เข้าใจตรงกันนะ!