‘อนาคตของสหประชาชาติกับสงครามที่ถูกใช้อ้างเพื่อรักษาอำนาจ’

‘อนาคตของสหประชาชาติกับสงครามที่ถูกใช้อ้างเพื่อรักษาอำนาจ’

ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งคำถามถึงประโยชน์และอนาคตของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ พร้อมทั้งแสดงท่าทีที่ขัดแย้งโดยวันแรกอ้างตนเป็นผู้ยุติสงคราม แต่วันถัดมากลับยุยงให้เกิดสงครามในยุโรปต่อไป

KEY

POINTS

  • ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งคำถามถึงประโยชน์และอนาคตของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ พร้อมทั้งแสดงท่าทีที่ขัดแย้งโดยวันแรกอ้างตนเป็นผู้ยุติสงคราม แต่วันถัดมากลับยุยงให้เกิดสงครามในยุโรปต่อไป
  • บทความชี้ว่าสหรัฐฯ อาจใช้สงครามเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ โดยอ้างถึงการเรียกประชุมนายพล 800 คนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และการใช้กำลังทหารในเวเนซุเอลาเพื่อผลประโยชน์แฝง
  • สหประชาชาติถูกมองว่ามีบทบาทจำกัดในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เช่น กรณีอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ที่แม้หลายชาติจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ แต่การเป็นรัฐโดยสมบูรณ์ยังไม่เกิดขึ้นจริง ตราบใดที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสมัชชาใหญ่และอิสราเอลยังคงใช้อำนาจทหารควบคุมอยู่
  • ผู้เขียนสรุปว่าสงครามเป็นกลวิธีที่ผู้นำมักใช้อ้างเพื่อยึดครองอำนาจและยกเลิกการเลือกตั้ง โดยแสดงความกังวลว่าสถานการณ์นี้อาจถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อขัดขวางการเลือกตั้งในประเทศไทย

สัปดาห์ที่ผ่านมาบรรยากาศในนครนิวยอร์กคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากฤดูนี้เป็นการชุมนุมผู้นำโลกประจำปีที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ซึ่งครั้งนี้เป็นปีที่ 80 ประเด็นสำคัญเร่งด่วนมักจะถูกนำมาถกเถียงวิเคราะห์วิจารณ์กันอย่างเข้มข้นตัวต่อตัวเห็นหน้าเห็นตากัน

ประเด็นใหญ่ที่คาดการณ์กันไว้คือการประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยกองทัพอิสราเอลต่อชาวฉนวนกาซ่า และการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครนซึ่งลามไปถึงการละเมิดพรมแดนในประเทศกลุ่มนาโต้

ก่อนเริ่มการประชุมมีปัญหาวุ่นวายหลายเรื่องเช่นการไม่อนุมัติวีซ่าให้เข้าอเมริกา ทั้งที่มีข้อตกลงชัดเจนว่าสหรัฐฯซึ่งเป็นที่ตั้งของสหประชาชาตินั้นจะไม่กีดกันตัวแทนของประเทศสมาชิก หรือผู้นำหลายประเทศตัดสินใจไม่เดินทางมาแต่ใช้วิดีโอคอลแทน ซึ่งรวมทั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยที่ตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายไม่เดินทางมาร่วมประชุมในครั้งนี้

แต่ที่กลายเป็นข่าวพาดหัวทั่วโลกเมื่อผู้นำสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์แบบเผ็ดร้อน ใช้เวลาเวลานานกว่าปกติซึ่งกำหนดที่ 15 นาที เป็นการตำหนิวิจารณ์หลายเรื่องถึง 56 นาที

สหประชาชาติและยุโรปเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตีมากที่สุด

ทรัมป์กล่าวว่า “สหประชาชาติมีประโยชน์อะไร ทำหน้าที่ในปัจจุบันได้ดีแค่ไหน และอนาคตจะเป็นอย่างไร”

“ชาติตะวันตกกำลังจะลงนรกเพราะผู้อพยพเป็นปัญหาเซาะกร่อนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ”

“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการรณรงค์พลังงานหมุนเวียนเป็นเรื่องหลอกลวง”

“ทรัมป์เองคือผู้ยุติสงครามทั้งเจ็ดครั้งแต่เพียงผู้เดียว รวมทั้งระหว่างไทยและกัมพูชาด้วย ฯลฯ”

ในวันถัดมาก็เป็นเซอร์ไพรส์และตั้งโจทย์การเมืองใหม่ เนื่องจากทรัมป์เปลี่ยนแนวคิดแบบกลับตาลปัตร ยุให้ยุโรปและยูเครนรวมพลังทำสงครามต่อไปเพื่อยึดเอาดินแดนคืนจากที่รัสเซียรุกรานครอบครองเมื่อต้นปี ค.ศ. 2022 ‘และเกินกว่านั้น’ ซึ่งอาจหมายถึงไครเมียที่ยูเครนสูญเสียไปเมื่อปี 2014 และเย้ยว่ารัสเซียแท้จริงคือเสือกระดาษ ฯลฯ

การให้ท้ายของผู้นำสหรัฐฯทำให้ผู้นำหลายประเทศในกลุ่มนาโต้ประกาศยิงเครื่องบินหรือโดรนที่รุกล้ำเข้ามาและร่วมกันประณามเชิงเย้ยหยันรัสเซียค่อนข้างรุนแรง ทำให้ผู้นำรัสเซียต้องออกมาตอบโต้

ส่วนเรื่องอิสราเอลใช้ความรุนแรงในฉนวนกาซ่าโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของประชาคมโลกนั้น เป็นประเด็นที่ผู้นำหลายประเทศขึ้นประณามอย่างรุนแรงเช่นกัน ซึ่งวิกฤตินี้ส่งผลให้มีการเคลื่อนไหวโดยอีก 10 ประเทศเพิ่มเติมกับ 150 ประเทศประกาศยอมรับสถานะการเป็นรัฐของปาเลสไตน์

ดูเหมือนปาเลสไตน์จะมีคุณสมบัติในการเป็นรัฐหรือประเทศโดยสมบูรณ์ คือ มีประชากรถาวร ดินแดนที่กำหนดชัดเจน รัฐบาล ปกครองตนเอง และการยอมรับของประเทศหรือรัฐอื่นๆ แต่ปัจจุบันปาเลสไตน์มักถูกเรียกว่าเป็นรัฐกึ่งหรือรัฐเกิดใหม่ (quasi state or an emerging state)

อุปสรรคของรัฐปาเลสไตน์ที่ทำให้ยังไม่มีอธิปไตยโดยสมบูรณ์คือบทบาทของอิสราเอล ซึ่งมีกำลังทหารประจำการอยู่ทั่วเขตเวสต์แบงก์และปิดล้อมฉนวนกาซ่าทั้งทางบกทางอากาศและทางทะเลทั้งหมด ทำให้ปาเลสไตน์ไม่สามารถบริหารการค้า การเดินทาง หรือการป้องกันประเทศของตนเอง

และที่สำคัญคืออิสราเอลมีนโยบายรุกตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์และรัฐบาลปาเลสไตน์ไม่มีพลังเพียงพอที่จะต่อต้านได้

การยอมรับรัฐปาเลสไตน์ (recognition of the State of Palestine) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดย 157-160 ประเทศโดยประมาณ ‘ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีแต่เป็นสัญลักษณ์มากกว่าผลทางปฏิบัติ’

ปาเลสไตน์จะเป็นรัฐโดยสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสรุปที่การแก้ปัญหาแบบสองรัฐ (two-state solution) ซึ่งหมายถึงอิสราเอลและปาเลก็ต่อเมื่อตกลงแบ่งดินแดนอธิปไตยของตนเองอย่างชัดเจน ไม่ใช่แบบปัจจุบันที่อิสราเอลครอบครองหรือปิดล้อม

และคงต้องรอการประกาศยอมรับโดยสมัชชาสหประชาชาติว่าเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์

การเมืองในสหรัฐอเมริกาเองก็ร้อนรุ่มเนื่องจากงบประมาณของรัฐบาลกลางจะหมดลงภายในวันที่ 30 กันยายนนี้และยังไม่มีการอนุมัติเพิ่มเติมโดยรัฐสภา ซึ่งความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองหลักเช่นที่เคยผ่านมาหลายครั้งโดยไม่ประนีประนอมกันอาจทำให้องค์กรต่างๆของรัฐบาลกลางจำเป็นต้องปิดบริการชั่วคราวตามความจำเป็นน้อยไปถึงมาก (government shut down) และในที่สุดจะลงเอยโดยการประนีประนอมเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา

รัฐมนตรีกระทรวงสงคราม (ซึ่งเดิมชื่อกระทรวงกลาโหม) ของสหรัฐฯ นาย Pete Hegseth ออกคำสั่งเรียกนายพลซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 800 คนทั้งในสหรัฐอเมริกาและที่ประจำฐานทัพในต่างประเทศ ให้มาร่วมประชุมที่ค่ายทหารนาวิกโยธินในรัฐเวอร์จิเนียต้นสัปดาห์หน้า ในคำสั่งนั้นไม่ได้แจ้งเหตุผลว่ามาประชุมเรื่องอะไร แต่สันนิษฐานโดยเบื้องต้นคาดว่า

1) อาจปลดจำนวนนายทหารระดับสูงรวมทั้งนายพลลงจากตำแหน่งประมาณ 20% และอาจมีการรวมกองบัญชาการยุโรปกับแอฟริกา และกองบัญชาการฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้

2) อาจเกี่ยวข้องกับงบประมาณ ซึ่งหากฝ่ายบริหารและรัฐสภาตกลงกันไม่ได้ ทหารประจำการทุกระดับอาจถูกลดหรือระงับเงินเดือนชั่วคราว และเมื่อตกลงกันได้แล้วจึงจะจ่ายย้อนหลัง ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งทำลายขวัญและกำลังใจรวมทั้งเศรษฐกิจของครอบครัวทหารเหล่านั้น

3) สถานการณ์ในเวเนซุเอลาตึงเครียด กองทัพสหรัฐฯถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยล่าสุดโจมตีทำลายเรือสามลำทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 คน โดยอ้างว่าเรือเหล่านั้นนำยาเสพติดออกจากเวเนซุเอลามุ่งหน้าไปสหรัฐอเมริกา

แต่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่มั่นใจว่าสาเหตุที่แท้จริงคือสหรัฐอเมริกาต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเวเนซุเอลาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาและสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์แฝงเช่นแหล่งน้ำมันดิบของเวเนซุเอลาซึ่งเป็นอันดับต้นต้นของโลก

4) อาจเป็นการเตรียมทำสงครามในภูมิภาคอื่นเช่นในยุโรปหรือตะวันออกกลาง หรือส่วนอื่นของโลก

อย่างไรก็ตามการให้ข่าวเรื่องเรียกประชุมนายพลทั้ง 800 คนมารวมที่เดียวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงดูเป็นเรื่องแปลกว่าเป็นการสร้างภาพหรือไม่

และยิ่งไปกว่านั้นมีคำวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการดึงดูดความสนใจเบี่ยงเบนจากเรื่องอื้อฉาวหรือปัญหาอื่นๆของทำเนียบขาว เช่นเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณเปราะบาง สินค้าราคาแพง เงินเฟ้อ การจ้างงานฝืด ภาษีศุลกากรซึ่งอาจถูกตีตกในระดับศาลฎีกา ต่างๆเหล่านี้ก็เป็นไปได้

สงครามเป็นกลวิธีหนึ่งที่ผู้นำเผด็จการมักนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการยึดครองอำนาจและยกเลิกการเลือกตั้ง สหรัฐอเมริกาก็ไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆซึ่งการเมืองภายในประเทศและผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจอาจนำมาสู่การใช้เล่ห์กลอุบายเพื่อเสถียรภาพของพวกเขาเอง

การเมืองไทยที่มีแผนยุบสภาปลายเดือนมกราคมปีหน้าและนำมาสู่การเลือกตั้งภายในเดือนเมษายนนั้น ขอภาวนาว่าอย่ามีอุปสรรคจากสงครามริมชายแดนมาเป็นข้ออ้างให้เลื่อนหรือยกเลิกการเลือกตั้งที่เป็นความหวังแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ครับ