ติดตามประชุมโอเปค เลือกเก็งกำไรรายตัวในช่วงตลาดรอปัจจัยใหม่

ติดตามประชุมโอเปค เลือกเก็งกำไรรายตัวในช่วงตลาดรอปัจจัยใหม่

หุ้นยุโรปและสหรัฐฯ เคลื่อนไหวทรงตัว

ยุโรปกังวลเงินเฟ้อส.ค.ของประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่เพิ่มขึ้นแตะ 3% (จากก.ค.ที่ 2.2%) และเหนือระดับเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ 2% ทำให้นักลงทุนเริ่มประเมินถึงความเป็นไปได้ที่ ECB อาจปรับลดการซื้อพันธบัตรลง (ลดการทำ QE) ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ มีแรงทำกำไรในกลุ่มธนาคารและพลังงาน ก่อนการประชุมโอเปคและพันธมิตรในคืนนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการเดินหน้าปรับเพิ่มกำลังการผลิตตามเป้าหมายซึ่งจะเป็นลบต่อราคาน้ำมันดิบระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากตลาดประเมิน ECB จะปรับลด QE อาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเทียบเงินเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์อาจช่วยประคองราคาน้ำมันดิบ รวมถึงเป็นบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดเอเชียและเกิดใหม่

MAKRO ได้ประโยชน์ที่สุดจากกลุ่มซีพีปรับโครงสร้างการถือโลตัส โดยสาระสำคัญคือการปรับให้ธุรกิจของโลตัสทั้งหมด ภายใต้ CPRH ซึ่งเดิมถือหุ้นผ่าน CPALL, CPF และ CPH ในสัดส่วน 40% 20% และ 40% มาอยู่ภายใต้ MAKRO ผ่านกลไกของการรับโอนธุรกิจ (Entire business transfer: EBT) โดย MAKRO จะทำการเพิ่มทุนจากเดิม 4,800 ล้านหุ้น เป็น 11,172 ล้านหุ้น โดยหุ้นที่เพิ่มขึ้นมา 5,010 ล้านหุ้น ใช้แลกกับธุรกิจของโลตัส (ถือผ่าน CPRH) ขณะที่ 1,362 ล้านหุ้น (12.19%) จะเสนอขายประชาชนเป็นการทั่วไป (Public offering) ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการกระจายหุ้น (Free float) ต่ำเกณฑ์ข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรามองดีลนี้เป็นบวกระยะยาวกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ MAKRO อย่างไรก็ตามในระยะสั้นอาจเป็นลบต่อ D/E ของ CPALL และ CPF ได้ โดยทางกลยุทธ์ประเมินผลกระทบเบื้องต้นและสิ่งที่จะเกิดขึ้นดังนี้

1) ดีต่อความแข็งแกร่งทางการเงินของ MAKRO เนื่องจากหลังการควบรวม (EBT) หนี้สินต่อทุน (D/E) จากระดับ 2 เท่า จะลดลงเหลือประมาณ 1 เท่า

2) ผลประกอบการของโลตัสที่อ่อนแอลงจากสถานการณ์โควิด อาจจะสร้างแรงกดดันระยะสั้นต่องบของ MAKRO และ CPALL (หลังดีลจะถือหุ้น MAKRO เหลือ 65.97% จากเดิม 93.08%) ได้

3) แม้จะเผชิญความเสี่ยงระยะสั้นจากผลประกอบการของโลตัส แต่การที่ MAKRO ได้ธุรกิจของโลตัสมาในราคา 217,949 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าตอนกลุ่มซีพีเข้าซื้อที่ราคา 338,445 ล้านบาท ค่อนข้างมาก เราคิดว่ามูลค่าธุรกิจโลตัสในระยะยาวช่วยหักล้างความเสี่ยงจากความผันผวนระยะสั้นดังกล่าว

4) CPALL, CPF อาจมีผลกระทบจากรายการทางบัญชี เนื่องจากการแลกธุรกิจโลตัสเป็นหุ้น MAKRO เกิดขึ้นด้วยมูลค่าที่ต่ำลงกว่าตอนเข้าซื้อโลตัสมาก มูลค่ายุติธรรมที่ลดลง จะถูกปรับลดในส่วนของกำไรสะสม ซึ่งจะมีผลให้ D/E ของ CPALL และ CPF สูงขึ้นจากปัจจุบันที่ 3.72 และ 1.80 เท่าได้

5) การลดภาระหนี้ ในช่วงแรกของการทำ EBT จะยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดในช่วงของการทำ PO ซึ่ง CPALL, CPF, CPH อาจร่วมขายหุ้น MAKRO ออกมาส่วนหนึ่ง ซึ่งจะช่วยในการผ่านเกณฑ์กระจายหุ้น และลดหนี้จากดีลโลตัสของผู้ถือหุ้นทั้ง 3 ราย

ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดี ในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุนกลุ่มเปิดเมือง BBL, SCB, KBANK, CPN, CRC, MINT (มีร.ร.ในตปท.), SHR (มีร.ร.ในตปท.) / เก็งกำไรทางเทคนิค MDX, TH, VNG, SKN, WIIK

ภาพรวมกลยุทธ์: อาจย่อระยะสั้นในแนวโน้มฟื้นตัว ธีมเก็งกำไรเด่นยังเป็นการหมุนสลับหุ้นเปิดเมืองกับพลังงาน ไฟฟ้า สื่อสาร การเก็งกำไรควรกำหนดจุดตัดขาดทุนและแบ่งทำกำไรทุกครั้ง//หุ้นแนะนำ: GPSC*, ADVANC*, EASTW*, DMT*

แนวรับ: 1,618/ แนวต้าน : 1,643-1,650 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

ประเด็นการลงทุน

แบงก์ชาติจ่อปรับ GDP ใหม่. ธปท. เผยเศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค. ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับมาจากการมีมาตรการล็อกดาวน์ และได้รับผลกระทบจากโควิดต่างประเทศที่กลับมารุนแรง โดยธปท. เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้งในวันที่ 29 ก.ย. 64 จากเดิมที่คาด GDP โต 0.7%

KEX. ส่งสัญญาณครึ่งปีหลังโตแรงกว่าครึ่งปีแรก รับอานิสงส์เข้า high season ธุรกิจ ขณะที่สภาพคล่องแกร่งกว่า 1 หมื่นล้านบาท DE ratio ต่ำเพียง 0.59 เท่า

ประเด็นติดตาม: -  9 ก.ย. – ประชึม ECB / 15 ก.ย. – ประกาศผู้ผ่านเทคนิคไฟฟ้าชุมชนเพิ่ม

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของรา