PFund-REITs-IFF (31 ส.ค. 64)

PFund-REITs-IFF (31 ส.ค. 64)

อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังน่าพอใจสำหรับ top picks

Event

กลยุทธ์การลงทุนหลังผลประกอบการ 2Q64

Key highlights

คาดว่าสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยจะรุนแรงที่สุดใน 3Q64

หลังจากที่ COVID-19 กลับมาระบาดระลอกสามในประเทศไทยแล้วประมาณ 5 เดือน เราคิดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นใน 4Q64 เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้วที่ 23,418 รายเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อมูลเป็นรายปักษ์ เราพบว่ายอดผู้ติดเชื้อเฉลี่ยสูงสุดที่ 20,658 ราย/วัน ในช่วงวันที่ 1–15 สิงหาคม ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 20,000 ราย/วันแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมเป็นต้นมา เราคิดว่าสถานการณ์โรคระบาดน่าจะรุนแรงที่สุดแล้วใน 3Q64 ซึ่งถือเป็นสัญญาณดีที่สถานการณ์จะดีขึ้นในระยะต่อไป แม้ว่าการระบาดระลอกนี้จะกินเวลายาวนานกว่าระลอกแรก และระลอกสอง ทั้งนี้ ถ้ายอดผู้ติดเชื้อใหม่ยังคงลดลงต่อเนื่องในเดือนกันยายน เรามองว่า น่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลงอีก และน่าจะมีการเดินหน้าเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนแล้วใน 4Q64 เราคิดว่าพัฒนาการด้านบวกดังกล่าว จะทำให้บางกองทุนฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกองทุนที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์โรคระบาด อย่างเช่น CPN Retail Growth Leasehold (CPNREIT.BK/CPNREIT TB) และ BTS Rail Mass Transit Growth Infrastructure Fund (BTSGIF.BK/BTSGIF TB)

เรายังคงชอบกองทุนที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง

เรายังคงใช้เกณฑ์เดิมในการคัดกองเด่นในกลุ่ม PFund-REITs-IFF โดยเน้นกองที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจ หรือค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ลักษณะของผู้ถือหน่วยกองทุนจะแตกต่างจากผู้ถือหุ้นในตลาดในแง่ของระยะเวลาการถือครองหลักทรัพย์ โดยผู้ถือหน่วยกองทุนส่วนใหญ่จะซื้อและถือยาวไปตราบเท่าที่พวกเขายังพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุน (ในแง่ของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล, ความผันผวนที่น้อยกว่า, ราคาไม่แพง) ซึ่งจากบทวิเคราะห์ฉบับเดือนที่แล้ว เราระบุไว้ว่าจะมีนักลงทุนบางรายจะเข้ามามองหาการลงทุนที่ปลอดภัยมากขึ้นในกลุ่ม PFund-REITs-IFF ในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดรุนแรง ซึ่งจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระยะยาว

ผลประกอบการ 2Q64 ของกองเด่นของเรา

เมื่อพิจารณาในด้านของผลการดำเนินงาน กองทุนส่วนใหญ่ยังมีผลการดำเนินงานเป็นบวกใน 2Q64 แม้จะต้องเผชิญกับการระบาดระลอกสามของ COVID-19 โดยกำไรสุทธิของ JASIF และ DIF อยู่ที่ 2.08 พันล้านบาท และ 2.94 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นกองทุนที่มีกำไรสุทธิสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของ
กองเด่นที่เราเลือก ซึ่งหากเทียบ YoY เราพบว่ากำไรสุทธิใน 2Q64 ของ Ally Leasehold Real Estate Investment Trust (ALLY.BK/ALLY TB) เติบโตอย่างน่าประทับใจถึง >1,000% YoY เป็น 104 ล้านบาท (Figure 3) แต่เมื่อเทียบ QoQ กำไรสุทธิของ Jasmine Broadband Internet Infrastructure Fund (JASIF.BK/JASIF TB) โตโดดเด่นกว่ากองอื่น ๆ ที่ 16.8% QoQ (Figure 4) นอกจากนี้ JASIF, DIF และ Hemaraj Leasehold Real Estate Investment Trust (HREIT.BK/HREIT TB) ยังคงรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลเอาไว้เท่าเดิม QoQ ซึ่งหมายความอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสำหรับปี 2564 จะค่อนข้างสูงอยู่ที่ 8%-9% (Figure 5)

Recommendation

กองเด่นของเรายังคงเป็น i) Jasmine Broadband Internet Infrastructure Fund (JASIF.BK/JASIF TB), ii) Digital Telecommunications Infrastructure Fund (DIF.BK/DIF TB), iii) Hemaraj Leasehold Real Estate Investment Trust (HREIT.BK/HREIT TB), iv) Ally Leasehold Real Estate Investment Trust (ALLY.BK/ALLY TB) และ v) GROREIT (GROREIT.BK/GROREIT TB) โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ i) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ ii) ผลประกอบการไม่ค่อยผันผวน และ iii) ผลการดำเนินงานและการจ่ายเงินปันผลมีแนวโน้มจะดีขึ้นในปี 2564

Risks

COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง, การเมืองขาดเสถียรภาพ