บิ๊กโรงแรม 'ดุสิตธานี-ดิเอราวัณกรุ๊ป' กางสูตรอยู่ร่วมโควิด มุ่งรักษาสภาพคล่องพร้อมทรานส์ฟอร์มเทคโนโลยี

บิ๊กโรงแรม 'ดุสิตธานี-ดิเอราวัณกรุ๊ป' กางสูตรอยู่ร่วมโควิด มุ่งรักษาสภาพคล่องพร้อมทรานส์ฟอร์มเทคโนโลยี

บิ๊กคอร์ปโรงแรมไทย “ดุสิตธานี-ดิเอราวัณกรุ๊ป” กางสูตรอยู่ร่วมโควิด มุ่งคุมค่าใช้จ่ายเข้ม รักษาสภาพคล่อง มุ่งเจาะดีมานด์เฉพาะ พร้อมเร่งยกเครื่องเทคโนโลยีรับมือธุรกิจท่องเที่ยวเปลี่ยนหลังโควิด-19

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของวิกฤติโควิด-19 กลุ่มดุสิตธานี มุ่งควบคุมค่าใช้จ่าย ปรับแผนระยะสั้นตลอดเวลาปรับรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ปรับโครงสร้างสินทรัพย์ เพื่อรักษาสภาพคล่อง ประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ แต่ก็ไม่ปล่อยให้เป้าหมายระยะยาวล้มเหลว ยังคงเดินหน้าตามแผน รับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนของบุคลากรที่เน้นการปรับทักษะของทีมงาน ปรับความพร้อม ความยืดหยุ่นและความคล่องตัวเพื่อตอบโจทย์ภาวะธุรกิจทั้งปัจจุบันและอนาคต หรือในส่วนของเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถตรวจสอบความถูกต้องโปร่งใสในกระบวนการทำงานของทุกฝ่ายได้ เพราะตระหนักดีว่าลูกค้าในปัจจุบันมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีความซับซ้อน หลากหลายและมีความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้กลุ่มดุสิตธานีจำเป็นต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ได้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยขยายการเข้าถึงตลาดและช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างมูลค่าในระยะยาวได้อีกด้วย

ขณะเดียวกัน มุ่งสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ทั้งด้านความสะดวก และเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้า ล่าสุดกลางเดือน ส.ค. นี้ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์บน LINE MyShop และ LazMall เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีทั่วประเทศ ตลอดจนร้านอาหาร และฟิตเนส ให้ผู้บริโภคที่ปัจจุบันนิยมซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เป็นการเพิ่มช่องทางสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในขณะที่การเดินทางระหว่างประเทศยังไม่สามารถกลับมาอยู่ในภาวะปกติ

  • เร่งทรานส์ฟอร์มเทคโนโลยี

อย่างไรก็ดี แม้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจหลักของกลุ่มดุสิตธานีตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทจำเป็นต้องปรับแผนและชะลอการลงทุนในหลายส่วน แต่มีบางโครงการที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี (Technology Transformation) เพราะข้อมูลและเทคโนโลยีจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยยกระดับการทำงานและการบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งภายในและภายนอก ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เพื่อให้กลุ่มดุสิตธานีสามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับนักท่องเที่ยวในยุคนิวนอร์มอล

“เราเริ่มทรานส์ฟอร์มมาตั้งแต่ ม.ค.2563 ก่อนเกิดโควิด ซึ่ง 18 เดือนของการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ จึงเป็นการทำงานแบบออนไลน์กว่า 80% เพราะข้อจำกัดของโควิดทำให้ทีมงานที่ปรึกษา ทีมงานไอที และทีมงานอื่นๆ ต้องทำงานแบบ Work From Home แต่ทุกฝ่ายก็ยังพยายามผลักดันโครงการต่างๆ ให้เกิดขึ้น จนภารกิจสำเร็จลุล่วงได้อย่างน่าพอใจ”

โครงการ Technology Transformation ของกลุ่มดุสิตธานี ประกอบด้วย การปรับปรุงระบบ ERP, CRM และ DATA Platform ใหม่ทั้งหมด โดยย้ายระบบทั้งหมดไปอยู่บนระบบคลาวด์แพลตฟอร์มของบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำไม่ว่าจะเป็น SAP, MICROSOFT และ CENDYNE เพื่อพัฒนาระบบงานทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเก็บรักษาและเชื่อมต่อข้อมูลของทุกหน่วยงานเข้าไว้ด้วยกันเสมือนอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน และเป็นการทำงานแบบเรียลไทม์เพื่อดึง Big Data มาวิเคราะห์และวางแผนงานได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น รองรับการขยายกิจการในอนาคต ล่าสุดได้วางระบบ ERP เชื่อมต่อข้อมูล 24 บริษัทย่อยคลุม 5 ธุรกิจหลักใน 17 ประเทศทั่วโลกที่ดุสิตธานีดำเนินงานในเฟสแรกเป็นที่เรียบร้อย

  • รักษาสภาพคล่องฝ่าโควิดลากยาว

นางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการก่อสร้างโรงแรมเพื่อลดปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตรงตามความต้องการ การกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางดิลิเวอรี่สำหรับร้านอาหารในโรงแรมทุกแห่งในระหว่างมาตรการห้ามนั่งทานในร้านอาหาร และสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอยู่เสมอเพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์โรงแรมต่างๆ

นอกจากนี้การบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด รวมถึงการรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้เพียงพอยังเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงที่สุด  โดยได้ศึกษาเครื่องมือทางการเงินทุกรูปแบบเพื่อเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์