'ม็อบไร้แกนนำ' แรงแล้วกลับ ขีดเส้น 'กองทัพ' ไม่ลงถนน

'ม็อบไร้แกนนำ' แรงแล้วกลับ ขีดเส้น 'กองทัพ' ไม่ลงถนน

เมื่อ “กองทัพ-ทหาร” เลือกอยู่ในที่ตั้งเพื่อไม่เสี่ยงถูกใช้เป็นเงื่อนไขใหม่ จึงต้องจับตาว่า “บิ๊กตำรวจ-คฝ.” กับ “ม็อบไร้แกนนำ” จะเลือกเดินเกมสู้ในทิศทางใด

สถานการณ์สารพัดม็อบที่สลับกันออกมาชุมนุม ก่อนจะประกาศยุติการชุมนุมในระยะสั้น แต่ผู้ร่วมชุมนุมบางส่วน จำนวนไม่น้อยออกอาการอารมณ์ค้าง “แกนนำ” แจ้งยุติแต่ “แกนตาม” เดินหน้าลุยต่อ

โดยเป้าหมายของม็อบในระยะหลัง ต้องการเดินไปให้ถึง “บ้านนายกฯ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) 

ทว่าม็อบที่นัดรวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลับไม่เคยไปได้ไกลกว่า "แยกดินแดง" เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ที่ตรึงกำลังเข้มข้น ตามภารกิจรักษาถนนวิภาวดี ไม่ให้ผู้ชุมนุมย่างกายเข้าใกล้บริเวณหน้า ร.1 ทม.รอ.

“ม็อบไร้แกนนำ” ไม่เกรงกลัวตำรวจพร้อมปักหลักสู้ เพื่อฝ่าด่านไปให้ถึงเป้าหมาย ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มความแค้นให้กับ “ม็อบไร้แกนนำ” ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กช่าง-เด็กอาชีวะ ที่มักจะรักเพื่อนร่วมสถาบัน เพื่อนร่วมอุดมการณ์ หากเพื่อนโดนควบคุมตัว-โดนตำรวจทำร้าย ก็ยิ่งอยากเอาคืน

ขณะที่ตำรวจก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ต่างจากม็อบไร้แกนนำ เมื่อเกิดการปะทะ ย่อมมีเจ้าหน้าที่เจ็บตัวเช่นกัน ภาพของตำรวจที่เลือดเดือดพร้อมบวกกับม็อบไร้แกนนำ มีให้เห็นในโลกโซเชียลมีเดียจำนวนมาก

ดังนั้น การชุมนุมหลังจากนี้ของม็อบไร้แกนนำจะปะทะกับตำรวจควบคุมฝูงชน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่าย มีแผล-มีแค้น ที่ต้องชำระกัน โดยไม่ได้ยั้งคิดว่าทั้ง ผู้ชุมนุม-ตำรวจคือคนไทยด้วยกัน

คำถามคือ การปะทะกันระหว่างม็อบไร้แกนนำกับตำรวจจะมีไปอีกนานถึงเมื่อไร

แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงประเมินว่า รูปแบบการชุมนุมไม่ได้ต่างจากปีที่แล้ว คือ ไร้แกนนำมาก่อเหตุแล้วก็กลับ พร้อมถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดียนำไปขยายผลต่อ ส่วนมวลชนอยู่ในระดับหลักร้อยจนถึงหลักพัน แต่สิ่งต้องระวังคือการเผาทำลายทรัพย์สิน มีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่อง

“การเผาทำลายทรัพย์สินอาจลามไปสู่เผาสถานที่ราชการ สถานที่เอกชน และสถานที่เป็นสัญลักษณ์ของนักการเมือง พรรคการเมือง ส่วนใหญ่เป็นเป็นเพียง ระเบิดปิงปอง พลุไฟ ประทัดยักษ์ และอาวุธปืนประดิษฐ์ โดยที่ยังไม่พบว่ามีความเคลื่อนไหวของการใช้อาวุธสงครามแต่อย่างใด” แหล่งข่าวระบุ

โดยการเคลื่อนไหวของ “ม็อบไร้แกนนำ” จะมีให้เห็นต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี หรือจนกว่าเป้าหมายจะบรรลุ ซึ่งยากที่จะประเมินว่าจะสงบนิ่งในช่วงใด

อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64  ที่มี พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน ได้มีการหารือเรื่องการชุมนุมในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นจลาจลจนต้องประกาศกฎอัยการศึกให้ทหารออกมาดูแล

โดยมั่นใจว่า “ตำรวจ” สามารถควบคุมสถานการณ์ในภาพรวมได้ เบื้องต้นยังเน้นการบังคับใช้กฎหมาย แต่กังวลเรื่องพื้นที่เขตพระราชฐาน สถานที่สำคัญต่างๆ ยังเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะพระบรมหาราชวัง และ ร.1 ทม.รอ. จึงจำเป็นต้องคงกำลังทหารไว้ 20 กองร้อย เฝ้าดูสถานการณ์ตลอดเดือน ส.ค. หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

โดยให้เตรียมพร้อมทำหน้าที่ 2 รูปแบบคือ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน แต่ในขณะเดียวกันพร้อมแปรสภาพเป็นเจ้าพนักงานทันทีหากสถานการณ์บานปลาย

“ทหารจะอยู่ในที่ตั้ง โดยไม่ออกมาเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม แต่หากมีการบุกรุกสถานที่ที่ทหารตรึงกำลังรักษาความสงบเอาไว้ ก็อาจจะต้องมีมาตรการรองรับ เพราะรู้ว่าหากทหารนำกำลังออกมาจากค่ายเมื่อไร จะเป็นเงื่อนไขให้ผู้ชุมนุมนำไปปลุกระดม สร้างความชอบธรรมในการชุมนุมได้ โดยเฉพาะการปลุกระดมว่าจะมีการทำรัฐประหาร”

นอกจากนี้ แม้ทางการเมืองจะยอมทำตามข้อเสนอของม็อบไร้แกนนำ ที่ต้องการให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ออกจากตำแหน่ง แต่หน่วยงานความมั่นคงประเมินว่า ม็อบไร้แกนนำจะไม่หยุดอยู่แค่การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์อย่างแน่นอน และหากมีเงื่อนไขการรัฐประหารสถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย และยากเกินกว่าจะควบคุมได้

แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง วิเคราะห์ต่อว่า สำหรับกลุ่มคาร์ม็อบของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำ นปช. “สมบัติ บุญงามอนงค์” บก.ลายจุด ยังไม่น่าห่วงมากนัก เพราะเป้าหมายชัดเจน คือการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่แตะข้อเสนอปฏิรูปสถาบัน

ในขณะที่มวลชนเสื้อแดง-นปช. แตกเป็นกลุ่มก้อนกระจัดกระจาย ไม่เหนียวแน่นเหมือนการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2552-2553 โดยการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ จึงไม่น่าห่วงมาก

หลังจากนี้ ต้องติดตามว่าการชุมนุมของ “ม็อบไร้แกนนำ” ที่ไม่เน้นเนื้อหา-ไม่เน้นประเด็นปราศรัย แต่มุ่งเน้นการเผชิญหน้าจะมียุทธศาสตร์แก้ทางอย่างไรบ้าง เพราะต้องยอมรับว่า หากจัดชุมนุมนำไปสู่เกิดรุนแรงทุกครั้ง แนวร่วม-กองเชียร์ อาจจะลดน้อยถอยหลัง

ฝั่ง “บิ๊กตำรวจ-คฝ.” ที่เป็นด่านหน้าปกป้อง “เครือข่ายอำนาจ” จะมียุทธวิธีีอย่างไรในการรับมือกับ “ม็อบไร้แกนนำ” เพราะหากสร้างความรุนแรงทุกครั้ง ก็สุ่มเสี่ยงที่จะโดนประณามจากประชาชน-องค์กรระหว่างประเทศได้เช่นกัน

เมื่อ“กองทัพ-ทหาร”เลือกอยู่ในที่ตั้งเพื่อไม่เสี่ยงถูกใช้เป็นเงื่อนไขใหม่ จึงต้องจับตาว่า “บิ๊กตำรวจ-คฝ.” กับ “ม็อบไร้แกนนำ”จะเลือกเดินเกมสู้ในทิศทางใด