'สวมหน้ากากอนามัย'กฏเหล็กธุรกิจอเมริกัน

'สวมหน้ากากอนามัย'กฏเหล็กธุรกิจอเมริกัน

'สวมหน้ากากอนามัย'กฏเหล็กธุรกิจอเมริกัน ขณะพื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ตอนนี้ภาคธุรกิจอเมริกันหวนกลับมาเข้มงวดกับการสวมหน้ากากอนามัยทั้งของพนักงานในสังกัดและลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านไล่ตั้งแต่ร้านค้าปลีกรายใหญ่ๆ ไปจนถึงเครือข่ายร้านอาหารชั้นนำ รวมถึง บริษัทโครเกอร์, โฮมดีโป้ ,โลว์ส, สตาร์บั๊ค, พับลิกซ์ ,วอลมาร์ท, ทาร์เก็ต ,ซีวีเอส, คอสต์โค , อิงเกิลส์ ,เอทีแอนด์ที, โคลห์, เบสท์บาย, วอลกรีนส์, แอ๊ปเปิ้ล สโตร์, และเวอร์ริซอน

บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่างเฟซบุ๊ค ก็ไม่เว้น ประกาศให้พนักงานในสหรัฐทุกคนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสำนักงาน ไม่ว่าพนักงานจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วหรือไม่ก็ตาม

เฟซบุ๊ค ระบุว่า “สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงคนในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับเรา เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้น, ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ และข้อบังคับในชุมชนที่เพิ่มขึ้น เราจึงนำข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยกลับมาใช้อีกครั้งกับพนักงานทั้งที่ยังไม่ฉีดวัคซีนหรือฉีดวัคซีนแล้วก็ตามในสำนักงานเฟซบุ๊คทุกแห่งในสหรัฐ”

นโยบายใหม่ของเฟซบุ๊คเกี่ยวกับการสวมหน้ากากเริ่มบังคับใช้ในวันพุธนี้ (4 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น และให้มีผลบังคับใช้ไปจนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม ซึ่งการตัดสินใจนี้ของเฟซบุ๊คเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานท้องถิ่นหลายแห่งในพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโกออกคำสั่งเช่นเดียวกันเพื่อให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในอาคารตามสถานที่สาธารณะต่างๆ

นโยบายการสวมหน้ากากอนามัยในสำนักงานของเฟซบุ๊คเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะให้พนักงานในสหรัฐทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนก่อนที่จะกลับเข้าสำนักงาน

162803274547

การเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊คเกิดขึ้นหลังจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งเนื่องจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่ระบาดอยู่ในขณะนี้และไม่ใช่แค่เฟซบุ๊ครายเดียว กูเกิล ก็ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนให้พนักงานทุกคนรับการฉีดวัคซีน และเลื่อนกำหนดการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศออกไปจนถึงเดือนต.ค. ขณะที่แอ๊ปเปิ้ล ชะลอแผนการกลับเข้าออฟฟิศของพนักงานไปเป็นเดือนต.ค.

นอกจากนี้ แอ๊ปเปิ้ลยังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ผู้ซื้อและพนักงานปลอดภัย ด้วยการตัดสินใจให้พนักงานและลูกค้าต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในร้านแอ๊ปเปิ้ล สโตร์ โดยให้เริ่มตั้งแต่ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ก.ค.

ส่วนวอลมาร์ท อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ สั่งให้พนักงานของบริษัทที่สำนักงานใหญ่และในระดับภูมิภาคเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายในวันที่ 4 ต.ค.นี้ ซึ่งอาจจะกำหนดเป็นมาตรฐานสำหรับบริษัทในสหรัฐ ขณะที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตายังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง

“ดั๊ก แมคมิลลอน”ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)ของวอลมาร์ท ระบุในบันทึกของบริษัทเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) ว่า คำสั่งให้พนักงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครอบคลุมพนักงานด้านการตลาด, พนักงานระดับภูมิภาคและพนักงานที่ปฎิบัติงานตามศูนย์ต่างๆ

เครือข่ายฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่างแมคโดนัลด์ คอร์ป ก็ยืนยันลักษณะเดียวกันว่า พนักงานและลูกค้าทุกคนในพื้นที่ที่มีการแพร่เชื้อสูงจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกคน ไม่ว่าฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วหรือไม่

เว็บไซต์มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปส์กินในสหรัฐ เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25,141 คน ทำให้มียอดติดเชื้อสะสมกว่า 35.2 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 71 คน รวมเป็น 613,670 คน

ขณะนี้พื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐ รวมถึงรัฐฟลอริดา รัฐลุยเซียนา และรัฐอาร์คันซอส์ กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้จำนวนผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และเริ่มจะไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง

รัฐฟลอริดามีจำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า 10,000 คน ทำสถิติสูงสุดของรัฐ ขณะที่จำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐลุยเซียนาก็ใกล้จะทำสถิติสูงสุดเร็วๆ นี้

สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนาสั่งให้ประชาชนกลับไปสวมหน้ากากอนามัยภายในอาคาร ขณะที่แพทย์ที่แถลงข่าวร่วมกับผู้ว่าการรัฐลุยเซียนาเปิดเผยว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้เป็นช่วงวันที่มืดมนที่สุดในการแพร่ระบาดรอบนี้ พร้อมกับขอให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพราะผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล และพยาบาลหลายรายติดเชื้อโควิด จนทำให้รัฐลุยเซียนาขาดคนทำงานถึง 6,000 คน

ส่วนพื้นที่อื่นๆ ของสหรัฐอย่างรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกของประเทศกลับไปสั่งให้มีการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะอีกครั้ง

ขณะที่รัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เตรียมบังคับให้พนักงานบริการขนส่ง เรือนจำ โรงพยาบาล และสถานพยาบาล ฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ต้องหมั่นตรวจหาเชื้อเป็นประจำ พร้อมกันนี้ รัฐนิวยอร์กยังขอให้บาร์ ร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่ฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 อย่างน้อย 1 โดสให้แก่ชาวอเมริกันซึ่งเป็นผู้ใหญ่จำนวน 70% ของประชากรทั้งประเทศแล้วแม้จะล่าช้าไป1เดือนจากเป้าหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศไว้

หนึ่งในการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนคือการแจกเงิน 100 ดอลลาร์แก่ชาวอเมริกันที่ตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีน