เมื่อรัฐบาลต่ออายุ "ล็อกดาวน์" แต่ผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างกลับมาเปิดขายได้ แต่ต้องขายในรูปแบบดิลิเวอร์รี่เท่านั้น ซึ่งสร้างความสงสัยให้แก่ประชาชน คำถามคือทำไมไม่อนุญาตให้คนซื้อกลับบ้านด้วยตัวเองด้วย?
ภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตัดสินใจต่ออายุ "ล็อกดาวน์" ออกไปจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2564 พร้อมเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดหรือสีแดงเข้ม จาก 13 เป็น 29 จังหวัด ไม่ทันข้ามวัน เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาตรการหลากหลายมุมมอง ขึ้นอยู่กับอาชีพที่ได้รับผลกระทบหนักเบาลดหลั่นกันไป
โดยเฉพาะการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเปิดจำหน่าย ทว่าในรูปแบบสั่งบริการขนส่งอาหาร (ฟู้ดส์ ดิลิเวอร์รี่ เซอร์วิส) เท่านั้น
ประเด็น “ฟู้ดส์ ดิลิเวอรี่” ถูกกล่าวถึงในวงกว้างอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าธุรกิจดังกล่าวทำเม็ดเงินมหาศาล เฟื่องฟูอันดับต้นๆ ในยุคที่ประเทศไทยเผชิญโควิด
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งรัฐบาลออกโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี ผ่านไปแล้ว 2 เฟส ยังไม่มีการอนุญาตให้ธุรกิจดิลิเวอรี่เข้าร่วม ท่ามกลางการเรียกร้องจากผู้ประกอบการที่เห็นว่านอกจากผลประโยชน์ส่วนตน การใช้บริการดิลิเวอรี่ในโครงการคนละครึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
ล่าสุด ศบค. โดยกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการให้ทันใช้ในเฟส 3 รอบที่ 2 เดือน ต.ค.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบกลางเพื่อเชื่อมต่อกัน
วันนี้มาตรการ ฟู้ดส์ ดิลิเวอรี่ ร้านอาหารในห้าง กลายประเด็นถกเถียงอีกครั้ง แต่เป็นคนละขั้วกับข้อเรียกร้องเดิม การที่ ศบค. อนุญาตให้ร้านอาหารเปิดบริการซื้อขายผ่านไรเดอร์เท่านั้น คำถามคือทำไมไม่อนุญาตให้คนซื้อกลับบ้านด้วยตัวเองด้วย เนื่องจากประชาชน ซึ่งเดินห้างอยู่ในสถานที่เดียวกับร้านอาหาร ไม่มีความจำเป็นต้องสั่งผ่านไรเดอร์
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ที่มาของข้อบังคับดังกล่าว ทางการอาจต้องการให้หลีกเลี่ยงการพบปะและรวมกลุ่มของผู้คน ซึ่งเสี่ยงต่อการเพิ่มการติดเชื้อ แต่อาจจะลืมไปว่า คนที่ไปเดินห้างถ้าซื้ออาหารในร้านต้องผ่านระบบดิลิเวอรี่ ต้องใช้เวลาอยู่ในห้างเพิ่มขึ้น เพราะรอให้คนกลางมาดำเนินการให้ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล เพียงแต่ข้อมูลที่ใช้แตกต่างกัน เมื่อประกอบกับสถานการณ์โควิดในช่วงครึ่งปีแรกตัวเลขติดเชื้อยังไม่พุ่งสูงถึงหลักหมื่น แต่ปัจจุบันเกือบวันละ 2 หมื่นราย
เมื่อ ศบค. กับรัฐบาลใช้ข้อมูล ณ ขณะนั้นมาตัดสินใจ ขณะที่ภาคเอกชน ผู้ประกอบการคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นตัวชี้วัด ความเห็นจึงสวนทาง
เราเห็นว่า ถึงวันนี้ข้อมูลประสบการณ์ข้างต้นในเรื่องดิลิเวอรี่ น่าจะชี้ให้รัฐบาลหรือ ศบค. เห็นแล้วว่า การดำเนินนโยบาย มาตรการ หรือข้อบังคับ ในการกำกับดูแลปัญหาเศรษฐกิจ กระทั่งโควิดและวัคซีน จำเป็นต้องมองไปข้างหน้าแทนการใช้ข้อมูลที่เป็นทางการเพียงอย่างเดียว หากผิดพลาดแล้วแก้ไข โดยไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปจนสายเกินแก้ เชื่อว่าคงไม่มีใคร ไม่ให้อภัย