‘เสียวหมี่’ ผงาด ฟอร์จูนโกลบอล 500

‘เสียวหมี่’ ผงาด ฟอร์จูนโกลบอล 500

"เหลย จุน" เผย แรงสนับสนุนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของแฟนเสียวหมี่ ทำให้เสียวหมี่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพลังเสมอมา ล่าสุด เสียวหมี่ ก้าวขึ้นสู่อันดับ 338 บนฟอร์จูนโกลบอล 500 ขึ้นเป็นองค์กรที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2021 ในหมวดหมู่อินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก

เสียวหมี่ ก้าวขึ้นสู่อันดับ 338 บนฟอร์จูนโกลบอล 500 ขึ้นเป็นองค์กรที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2021 ในหมวดหมู่อินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นพรีเมียม การขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศและแผนการค้าปลีกแบบใหม่ ผลักดันการเติบโต โดยเสียวหมี่อยู่ในรายชื่อฟอร์จูน 500 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

เสียวหมี่ถูกจัดอันดับอยู่ในรายชื่อฟอร์จูนโกลบอล 500 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยในปีนี้เสียวหมี่อยู่ในอันดับที่ 338 ซึ่งก้าวขึ้นมาจากอันดับที่ 422 ในปีก่อนหน้าถึง 84 อันดับ และการเติบโตนี้ยังส่งผลให้เสียวหมี่เป็นบริษัทในรายชื่อฟอร์จูน 500 ที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในหมวดหมู่อินเทอร์เน็ตและการค้าปลีกอีกด้วย

“หากเปรียบเทียบกับความสำเร็จที่ผ่าน ๆ มา ผมมุ่งเน้นไปยังการเติบโตทางด้านศักยภาพของพวกเรามากขึ้น เสียวหมี่ยังคงเป็นบริษัทที่ใหม่มากแต่ก็เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจมากมาย ผมอยากที่จะขอบคุณแฟน ๆ ของเสียวหมี่ทั่วโลกอย่างใจจริง เพราะแรงสนับสนุนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของพวกเขาที่ทำให้เสียวหมี่ของเรามีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพลังเสมอมา ผมคิดว่านี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเสียวหมี่และผมมั่นใจว่าผู้คนจะต้องได้เห็นเสียวหมี่ในรูปแบบที่ทั้งแข็งแรงและมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต และเราจะต้องไปถึงสถิติที่โดดเด่นกว่าเดิมบนฟอร์จูน โกลบอลในปีหน้าอย่างแน่นอน” เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง ประธาน และผู้บริหารสูงสุดของเสียวหมี่ กล่าว 

ตามบันทึกรายงานรายรับของเสียวหมี่ ในปี 2563 เสียวหมี่มีรายรับอยู่ที่ 245.9 พันล้านหยวน ส่งผลให้เสียวหมี่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 338 ของบริษัทที่อยู่ในรายชื่อฟอร์จูนโกลบอล 500 ประจำปี 2564 โดยอัตราการเติบโตของเสียวหมี่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแง่รายรับและกำไรสุทธิซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์เป็นอย่างมาก โดยรายรับประจำไตรมาสที่ 1/2564 ของเสียวหมี่อยู่ที่ 76.9 พันล้านหยวน เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 54.7 นอกจากนี้ กำไรสุทธิของไตรมาสเดียวกัน ยังอยู่ที่ 6.1 พันล้านหยวน ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 163.8

การเติบโตของเสียวหมี่เป็นผลจากการขยายตลาดเข้าสู่ตลาดระดับไฮ-เอ็น การเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศ และการพัฒนารูปแบบใหม่สำหรับธุรกิจค้าปลีก

เสียวหมี่มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีหลักต่าง ๆ ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การของผู้ใช้ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดไฮ-เอ็นด้วย สมาร์ทโฟนตระกูล Mi 10 และ Mi 11 โดยในไตรมาสที่ 1/2564 ยอดการจัดส่งสมาร์ทโฟนระดับโลกของเสียวหมี่ที่มีราคาตั้งแต่ 3 พันหยวนขึ้นไป ในจีนแผ่นดินใหญ่ หรือตั้งแต่ 300 ยูโรขึ้นไปในตลาดโลก มีจำนวนสูงเกินกว่า 4 ล้านเครื่อง

การขยายตลาดของเสียวหมี่ทั่วโลกยังช่วยส่งเสริมอัตราการเติบโตในภาพรวมอีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เสียวหมี่ประกาศว่าบริษัทฯเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 2 ของโลก อ้างอิงจากจากรายงานของ Canalys โดยมีส่วนแบ่งการตลาดวัดจากยอดการส่งมอบสมาร์ทโฟนที่ร้อยละ 17 ซึ่งสูงกว่า Apple

นอกจากนี้ ในตลาดสากลต่าง ๆ เสียวหมี่มีอัตราการเติบโตปีต่อปีถึงร้อยละ 300 ในตลาดละตินอเมริกา ร้อยละ 150 ในตลาดแอฟริกา และมากกว่าร้อยละ 50 ในตลาดยุโรปตะวันตก สมาร์ทโฟนของเสียวหมี่วางจำหน่ายในกว่า 100 ตลาดทั่วโลก เป็นผู้นำตลาดในอย่างน้อย 12 ตลาด อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ในยุโรป และยังเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนของประเทศอินเดียมาอย่างต่อเนื่องถึง 15 ไตรมาส

เมื่อกล่าวถึงด้านการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ร้านค้าปลีกของผลิตภัณฑ์เสี่ยวหมี่นั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากตั้งแต่ปี 2563 โดย สิ้นเดือนเมษายน 2564 นั้น จีนแผ่นดินใหญ่มีร้านเสียวหมี่ (Mi Stores) มากกว่า 5,500 สาขา และเสี่ยวหมี่ยังมีร้านเสี่ยวหมี่อีกกว่า 1 พันแห่งทั่วโลก โดยเสียวหมี่กำลังขยายช่องทางค้าปลีกของตนไปทั่วทุกมุมโลก เสียวหมี่ยังคงลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนา รวมไปถึงด้านบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงสร้างการตอบแทนใหม่ๆมากมายสำหรับทีมงานด้านการวิจัยและพัฒนา อีกทั้งยังขยายโครงการเสียวหมี่สมาร์ทแฟกทอรี่ไปสู่เฟส 2 ด้วย

เหลย จุน กล่าวในโอกาสครบรอบ 10 ปีของเสียวหมี่ว่า “ในทศวรรษหน้า เสียวหมี่จะเป็นแรงขับเคลื่อนรายใหม่ในอุตสาหกรรมการผลิต” โดยระบบการผลิตแบบอัจฉริยะจะกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เป็นจุดแข็งในการแข่งขันของเสียวหมี่

นอกเหนือจากการเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟน อุปกรณ์ AIoT และอุตสาหกรรมการผลิตแบบอัจริยะ เสียวหมี่ยังพร้อมจะก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าฉัจริยะ โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เสียวหมี่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะก่อตั้งบริษัทลูกบริษัทใหม่เพื่อบริหารจัดการธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ โดยมี "เหลย จุน" เป็นผู้บริหารสูงสุด และจะลงทุนอย่างน้อย 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยเงินลงทุนก้อนแรกจะอยู่ที่ 10 ล้านหยวน โดยเสียวหมี่มีเป้าหมายจะผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะให้เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตให้กับบริษัทฯ