‘เงินบาท’ วันนี้เปิด‘ทรงตัว’ ที่32.94บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด‘ทรงตัว’ ที่32.94บาทต่อดอลลาร์

ปัญหาโควิด-19 ในไทยยังระบาดไม่ถึงจุดเลวร้ายสุด กดดันเงินทุนต่างชาติไหลออก พร้อมจับตาสถานการณ์ดังกล่าวในจีนและสหรัฐ ทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อได้ถึงระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้32.90- 33.00บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาท"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.94 บาทต่อดอลลาร์ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้ม"ค่าเงินบาท"ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของ โควิด-19 ในขณะที่เงินดอลลาร์โดยรวมมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ดังนั้นเราจึงยังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้เนื่องจากปัญหาการระบาดของ โควิด-19 ในไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น และเรามองว่า จุดเลวร้ายสุดของการระบาดยังมาไม่ถึง ทำให้ เราคงประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติก็ยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย ซึ่งแรงเทขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติยังคงกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้

ทั้งนี้ ในระยะสั้น หากตลาดคลายกังวล ปัญหาการระบาด โควิด-19 ทั่วโลก และกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) เพื่อหลบความผันผวนในตลาด ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ก็อาจทำให้ เงินบาทไม่อ่อนค่าหนัก ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์ ไปมาก

ผู้เล่นในตลาดการเงินเริ่มกังวลว่าปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของ โควิด-19 ในสหรัฐฯ อาจกดดันให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง สอดคล้องกับ รายงานข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 59.5 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และสะท้อนถึงภาวะขยายตัวของภาคการผลิตในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ซึ่งภาพความกังวลดังกล่าว ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดสหรัฐฯต่างทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง กดดันให้ ดัชนี Dowjones ปรับตัวลดลงราว -0.28% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปิดตลาด -0.19% ในขณะที่ หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ เดินหน้าปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.18% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.06%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ยังคงสามารถก็ปรับตัวขึ้น +0.67% โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม Adidas +3.68%, Kering +2.42%, Louis Vuitton +1.94%, L’ Oreal +1.76%

ทางด้านตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากปัญหาการระบาดของเดลต้า ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 4bps สู่ระดับ1.18% อย่างไรก็ดี เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 1.50% ได้ สิ้นปีจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด โดยเราคาดว่า เฟดอาจส่งสัญญาณทยอยลดการทำคิวอีได้ ในช่วงการประชุม FOMC เดือนกันยายน หลังล่าสุด เจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Christopher Waller  ระบุว่า พร้อมสนับสนุนการทยอยลดคิวอี หากยอดการจ้างงานยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีก2 เดือนข้างหน้า

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน แม้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง ทว่า เงินดอลลาร์โดยรวมยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากตลาดยังคงมีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในช่วงที่ปัญหาการระบาดของ โควิด-19 อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ หลังเริ่มพบการระบาดในสหรัฐฯและจีนมากขึ้น ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังทรงตัวใกล้ระดับ 92.05 จุด

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของ โควิด-19 โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ และ จีน หลังทั้งสองภูมิภาคมีรายงานยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฝั่งภาคการบริการชะลอตัวลงในระยะสั้นได้ หากการระบาดทวีความรุนแรงมากขึ้น

ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่า ปัญหาการระบาดของ โควิด-19 ระลอกใหม่ จะส่งผลให้เศรษฐกิจในโซนเอเชียมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะสั้น กดดันให้บรรดาธนาคารกลางในเอเชียเลือกที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป โดยในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Cash Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการคุม yields curve