JWD ดันบริษัทย่อยระดมทุนขายไอพีโอปี 65 คาดมาร์เก็ตแคป 5 พันล้าน

JWD ดันบริษัทย่อยระดมทุนขายไอพีโอปี 65 คาดมาร์เก็ตแคป 5 พันล้าน

“เจดับเบิ้ลยูดี” เล็งดันบริษัทย่อย “เจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต” เข้าระดมทุนขายหุ้นไอพีโอปี 65 หวังเบิกทางเข้าถึงเครื่องมือการเงินเพิ่มขึ้น-หนุนการเติบโตในอนาคต เบื้องต้นคาดมาร์เก็ตแคป 4-5 พันล้าน

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการนำบริษัทย่อยบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จํากัด เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายภายในไตรมาส 3 ปี 2565 หรืออย่างช้าไตรมาส 4 ปี 2565 จากปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จํากัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สำหรับสาเหตุหลักที่บริษัทตัดสินใจนำเจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ตฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะต้องการให้บริษัทย่อยในเครือสามารถเข้าถึงเครื่องมือระดมทุนในตลาดทุนได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทย่อยสามารถนำเงินไปลงทุนได้เพิ่มเติมมากขึ้นสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2565 ปี 2566 และปีถัดๆ ไป

ส่วนทุนจดทะเบียนปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาการเพิ่มทุน เบื้องต้นประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ณ วันที่เข้าจดทะเบียนจะอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ตฯ เป็นบริษัทย่อยที่ JWD ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 75% ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า ทั้งสินค้าทั่วไป สินค้าอันตราย และรถยนต์ โดยให้บริการขนส่งด้วยรถลาก (Trailer) รถบรรทุกรถ (Car-carrier) รถบรรทุกขนาด 4 ล้อ รถบรรทุกขนาด 6 ล้อ และรถบรรทุกขนาด 10 ล้อ โดยเป็นรถขนส่งของกลุ่มบริษัททั้งหมดจำนวน 223 คัน และรถขนส่งจากผู้รับจ้างภายนอก รวมมากกว่า 100 คันข้อมูล ณ สิ้นปี2563

ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 115.79 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,157,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดยผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทมีรายได้ 409.55 ล้านบาท 420.53 ล้านบาท และ 384.92 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิในปี 2561 และ ปี 2562 อยู่ที่ 9.4 ล้านบาท และ 5.2 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี 2563 ขาดทุน 3.4 ล้านบาท