SIMAT - ซื้อ (30 ก.ค.64)

SIMAT - ซื้อ (30 ก.ค.64)

คาดการณ์กำไรปี 64-65 เติบโต 146% และ 44% ตามลำดับ

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

  • คาดกำไร 2Q64 ที่ 2 ลบ. +65%QoQ, +1,044%YoY: ฝ่ายวิจัยคาดรายได้ 2Q64 เติบโต 14%YoY สู่ 258 ลบ. เนื่องจากฐานที่ต่ำใน 2Q63 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระจายรุนแรงไปทั่วโลก แต่ใน 2Q64 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในยุโรปและอเมริกา ทำให้ธุรกิจซิลค์สกรีนและเลเบลมีรายได้สูงขึ้นทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นที่ระดับ 39.0% จากต้นทุนของธุรกิจโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ที่ลดลง และอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ระดับ 20.5% โดยเพิ่มขึ้น YoY ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรใน 2Q64 ราว 28.2 ลบ. +65%QoQ และ +1,044%YoY โดยกำไร 1H64 คิดเป็น 35% ของประมาณการทั้งปี
  • ประมาณการกำไรปี 64 ที่ 128 ลบ. เติบโต 146% และเติบโต 44% ในปี 65 : ฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้ปี 64 อยู่ที่ 1,046 ลบ. เติบโต 3% YoY จากธุรกิจหลักของบริษัทในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลาเบลและซิลค์สกรีนที่คาดว่ารายได้จะเติบโตอย่างน้อยปีละ 20% ในปี 64-66 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ธุรกิจไอทีโซลูชั่น(SI)ในพื้นที่โซนอีสานที่จะรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในส่วนงานให้บริการอินเทอร์เน็ตและบำรุงรักษา และธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตของบริษัทภายใต้ชื่อ “SINET” ในการร่วมมือกับบริษัทในเครือเจริญเคเบิลทีวี เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ครอบคลุมมากขึ้น เราประมาณการกำไรปี 64 ที่ 128 ลบ. เติบโต 146% และในปี 65 คาดการณ์รายได้ที่ 1,189 ลบ. +14%YoY เติบโตจากธุรกิจซิลค์สกรีนที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง และคาดกำไรราว 166 ลบ. เติบโต 44% YoY
  • แผนนำบริษัทลูก ฮินซิซึ (HST) IPO ต้นปี 65 สร้างมูลค่าแฝงให้กับบริษัท : บริษัท Hinsitsu ที่บริษัทถือหุ้น 70% ประกอบธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลาเบลและซิลค์สกรีน ซึ่งมีลูกค้าเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ อาทิ TOSHIBA, SAMSUNG, ELECTROLUX และอื่นๆ ซึ่งมีการขยายไปผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ EV และขยายตลาดไปในประเทศเวียดนาม บริษัทมีแผน IPO ราวต้นปี 65 เพื่อระดมเงินทุนไปสร้างโรงงานใหม่และใช้ในดีล M&A ในอนาคต ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในปี 65 เป็นต้นไปจากฐานเดิมที่คาดว่าจะเติบโตปีละ 20-25% และเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงที่ 40-45% เป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าแฝงให้กับบริษัท
  • เริ่มต้นที่คำแนะนำ “ซื้อ ราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 7.10 บาท: ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี PE Ratio โดยอิง Prospective P/E ที่ระดับ 25 เท่า (PE Ratio ของกลุ่ม SETTECH เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีที่ระดับ+2S.D.)  เนื่องจากธุรกิจของบริษัทอย่างฮินซิซึควรอยู่ที่ระดับพรีเมี่ยมของกลุ่มเทคโนโลยีจากการเป็นผู้นำตลาดในไทยและไม่มีคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน คาดกำไรต่อหุ้นปี 65 ราว 0.28 บาท/หุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมในปี 65 ที่ 7.10 บาท เราจึงเริ่มต้นคำแนะนำ ซื้อ เนื่องจากมี Upside จากราคาปิด 18 % และคาด Dividend Yield ที่ 1.2%

ความเสี่ยง : COVID-19 กลับมาระบาดรุนแรง

              : เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

              : ข้อพิพาททางกฎหมายกับกสท.