เทียบผล'ล็อกดาวน์'รอบนี้ - ปี 63 คนอยู่บ้านเพิ่มต่ำ

เทียบผล'ล็อกดาวน์'รอบนี้ - ปี 63 คนอยู่บ้านเพิ่มต่ำ

หมอระบาดเผย ‘ล็อกดาวน์’รอบนี้ ทำคนอยู่บ้านเพิ่มขึ้นราว 10 % ต่ำกว่ารอบปี 63 รอดูผลช่วยสถานการณ์ติดเชื้อดีขึ้นหรือไม่ แนะทุกคนต้องร่วมมือออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด

          เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 กล่าวถึงมาตรการล็อกดาวน์ว่า ถ้ามองในแง่ของกระบวนการของรอบนี้ว่าสามารถที่จะทำให้คนออกจากบ้านได้น้อยลงหรือไม่ จะพบว่า คนอยู่บ้านเพิ่มขึ้นแค่นิดเดียว  ถ้าเทียบกับเมื่อปีก่อนหลังประกาศล็อกดาวน์คนอยู่บ้านมากขึ้น 20 %  แต่ปัจจุบันคนอยู่บ้านเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10 % ยังไม่ถึงกับดูดีมากนัก แม้ว่าคนอาจจะออกไปทำงานน้อยลง แต่ยังมีการออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกบ้าน เช่น ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ในภาพรวมล็อกดาวน์ขณะนี้คือ มีหลายสถานที่มีคนออกมาน้อยลง แต่บางสถานที่คนออกมามากขึ้น

     “ถ้าถามว่าล็อกดาวน์ครั้งนี้ ทำให้คนหยุดอยู่บ้านได้มากน้อยแค่ไหน ยังไม่ถึงหยุดได้เหมือนช่วงปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ต้องรอดูอีกครั้งว่าในแง่ของผลของกระบวนการ ที่ยังมีคนออกมานอกบ้านพอควร และออกนอกบ้านน้อยลงบ้างแต่ยังไม่เหมือนตอนปี 2563  แล้วจะมีผลกระทบต่อการแพร่เชื้อได้แค่ไหน ต้องรอดูว่าสถานการณ์ของโรคจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน”นพ.ธนรักษ์กล่าว

          

    

นพ.ธนรักษ์ กล่าวอีกว่า เท่าที่สังเกต คนกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อ แต่เป็นความกังวลแบบถ้าไม่ใกล้ตัวจริงๆก็ไม่กลัว หรือไม่กลายเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจริงๆ อาจจะไม่กังวลมากนัก  ยังใช้ชีวิตปกติ แต่เมื่อเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต้องกักตัวที่บ้าน จะเริ่มกังวลมากขึ้น โดยสิ่งที่กังวลส่วนใหญ่คือถ้าติดเชื้อจริง จะต้องอยู่รพ.สนาม หรือรักษาตัวเองที่บ้าน  หรือจะมีรพ.รองรับหรือไม่  ซึ่งตอนนี้ทุกคนรู้สถานการณ์ดีว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยนั้น รพ.ค่อนข้างตึง เตียงรพ.ยังพอสามารถหาได้ แต่หาไม่ได้ง่ายหนัก อาจต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะฉะนั้น ขณะนี้ภาครัฐพยายามอย่างมากในการที่จะจำกัดการออกนอกบ้านให้น้อยลง ด้วยการสร้างเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด แต่สุดท้ายจะปลอดภัยหรือไม่ขึ้นกับตัวเราเอง ต้องพยายามออกจากบ้านน้อยที่สุด ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ออกจากบ้านทุกครั้งต้องระวังตัวเองสูงสุด  ต้องไม่พูดคุยกับใครที่ไม่ใส่หน้ากาก และไม่รับประทานอาหารร่วมกัน  ถ้าปฏิบัติตัวถูกต้องเหมาะสมก็จะปลอดภัย

“สถานการณ์ขณะนี้เป็นช่วงหนักที่สุดเท่าที่เผชิญมาก สถานการณ์ตอนนี้กระจายทั่วประเทศเพราะฉะนั้น ถ้าทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน หันหน้าเข้าหากันเพื่อหาทางออกประเทศ  รวมถึง การให้วัคซีนได้เร็วพอควร และกว้างขวาง จะมีผู้ป่วยนอนรพ.น้อยลง ต้องการไอซียูน้อยลง คนเสียชีวิตน้อยลง  อีกไม่กี่เดือนก็จะค่อยๆดีขึ้น ถ้าทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ สถานการณ์ก็จะดีขึ้น ถ้าทุกฝ่ายให้ความร่วมมือมาก ก็จะดีขึ้นเร็ว”นพ.ธนรักษ์กล่าว