'วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ' จี้ประยุทธ์ปลดล็อก 'วัคซีนเสรี'

'วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ' จี้ประยุทธ์ปลดล็อก 'วัคซีนเสรี'

"วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ" จี้รัฐบาลประยุทธ์ปลดล็อกวัคซีน-ยาเสรี เปิดทางเอกชนสั่งซื้อเอง หวังลูกจ้างได้ฉีด ธุรกิจเดินต่อ หนุนเศรษฐกิจประเทศฟื้นตัว

นายวสันต์ เบนซ์ทองหล่อ ประธานกรรมการบริษัทในเครือเบนซ์ทองหล่อ เปิดเผยในวงเสวนา Clubhouse "CEO โซเซ | The Legend…สร้างตำนานผ่านวิกฤติ" โดยหลักสูตร DTC ว่า จากข้อเสนอที่เอกชนต้องการเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาลและช่วยตนเองในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 อย่างการเปิดให้มีการซื้อขายวัคซีนอย่างเสรี จะช่วยลดภาระของรัฐบาล เพราะธุรกิจที่มีกำลังซื้อสามารถสั่งซื้อวัคซีนด้วยตนเองเพื่อฉีดให้แก่ลูกจ้างของตนเองได้ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงาน สามารถดำเนินการได้ต่อ

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันรัฐบาลยังกำหนดให้การซื้อวัคซีนทำได้ผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) รวมถึงมีการกำหนดกติกาไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งไม่คุ้มกับการที่ต้องแลกเปลี่ยนด้วยชีวิตของคนวันละ 100-200 คน และในกรณีเลวร้ายผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นระดับ 300-400 คน เพราะฉะนั้นวัคซีนเสรีจำเป็นที่สุด รวมถึงยายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ที่ปัจจุบันยังต้องรอเบิกส่วนกลาง และมีข้อจำกัดต้องเป็นผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลจึงจะสามารถเบิกได้

"กติกาเยอะเสียจนไปล็อกให้คนตายหมด เพราะฉะนั้นปัญหาตอนนี้คือรัฐบาลไม่ปล่อยให้เราช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้น วัคซีนเสรี ยาเสรี โรงพยาบาลของไทยตอนนี้กว่า 300 แห่ง ให้เขาสั่งเสรีทุกโรงพยาบาล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว อย่างบํารุงราษฎร์ กรุงเทพ สมิติเวช ฯลฯ หากต้องซื้อยาหรือวัคซีนจากเขา และเขาขายให้ได้ พวกเราจะรอด แต่ตอนนี้เราโดนล็อกดาวน์"

ขณะที่ข้อแนะนำถึงภาคการเงิน นายวสันต์ กล่าวว่า จากปัจจุบันเงินฝากของไทยเหลือเยอะประมาณ 15 ล้านล้านบาท ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีทุนสำรองที่สูง ขณะที่มาตรการช่วยเหลือในช่วงที่ผ่านมาอย่างซอฟท์โลน กติกายังเข้าไม่ถึงจริงๆ สะท้อนจากเสียงของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพราะกำหนดให้บัญชีต้องดีถึงสิ้นปี 2562 จึงจะสามารถกู้ได้ในปี 2563 ซึ่งไม่ตอบโจทย์ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

โดยแนะนำระบบปรับเป็นโรงจำนำ กล่าวคือให้ธนาคารเป็นโรงรับจำนำ และรับขายฝาก แต่ไม่ใช่การขายฝากแบบ 1 ปีขายขาด สามารถต่ออายุได้ประมาณ 5 ปี ดอกเบี้ยอย่าให้เกิน 10% เป็นต้น ซึ่งนักธุรกิจรับได้ เช่น ตนมีตึกแถว แต่ไม่สามารถรับมือกับสภาพเศรษฐกิจได้ จึงขอขายฝาก 5 ปีในราคาครึ่งเดียวของราคาประเมิน สมมติ 100 ล้านบาท ได้รับ 50 ล้านบาท และต่อดอกเบี้ยไป หากไม่ได้ค่อยยึดทรัพย์ เป็นต้น ธนาคารจะได้ไม่มีภาระตั้งสำรองหนี้ เพราะเมื่อธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้ ธนาคารจึงไม่อยากปล่อยกู้

นายวสันต์ กล่าวว่า วิกฤตในครั้งนี้ต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ซึ่งเป็นวิกฤตการเงินที่เกิดจาก ธปท. แต่ครั้งนี้เป็นวิกฤตเรื่องลมหายใจ ซึ่งวิธีแก้ไขคือการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) เพื่อให้คนสามารถออกมาทำงาน ซึ่งจะผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจสามารถเดินต่อไปได้