ธปท.หวั่นโควิดเดลต้ากระทบจีดีพีปีนี้ -0.8-2% จากคาดการณ์เดิม 1.8%

ธปท.หวั่นโควิดเดลต้ากระทบจีดีพีปีนี้ -0.8-2% จากคาดการณ์เดิม 1.8%

ธปท.ประเมินผลกระทบจากโควิดสายพันธุ์เดลต้าระบาด เสี่ยงกดจีดีพีปี 64 ราว -0.8-2% จากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% ลุ้นปัจจัยหนุน "นโยบายการคลัง-การส่งออก" ช่วยพยุงเศรษฐกิจ

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ที่ทำให้การติดเชื้อรุนแรงและลากยาวกว่าคาดการณ์ ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาด อย่างไรก็ดี สถานการณ์ปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง และการล็อกดาวน์ยังมีความเสี่ยงจะยืดเยื้อออกไป

ในการนี้ ธปท.จัดทำประมาณการผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2564 โดยคาดว่าในกรณีที่สถานการณ์ดีขึ้นภายหลังล็อกดาวน์ กล่าวคือควบคุมการระบาดให้ลดลงได้ 40% และสามารถควบคุมการระบาดได้ในเดือน ส.ค.จะส่งผลกระทบต่อคาดการณ์จีดีพีปีนี้ประมาณ -0.8% แต่ในกรณีที่สถานการณ์แย่ลง กล่าวคือควบคุมการระบาดให้ลดลงได้เพียง 20% ซึ่งมีความเสี่ยงจะกลับมาระบาดซ้ำได้ จะส่งผลกระทบต่อคาดการณ์จีดีพีปีนี้ -2.0%

"ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.เราคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะเติบโต 1.8% ส่วนคาดการณ์ผลกระทบจากโควิดที่ -0.8-2% อาจไม่สามารถนำมาหักลบกันตรงๆ ได้ เพราะยังมีปัจจัยอื่น เช่น มาตรการทางการคลัง การส่งออก ฯลฯ ซึ่งอาจเข้ามาช่วยพยุ่งเศรษฐกิจ แต่ยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อคาดการร์เศรษฐกิจ"

ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปี 2565 คาดว่าจะช้ากว่าที่คาดการณ์ เพราะขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนเป็นสำคัญ อีกทั้งการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ส่งผลให้ภูมืคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) อาจต้องเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90-92% จากเดิมคาดที่ 80% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันอื่นๆ เช่น นโยบายการเปิดประเทศของต่างชาติ นโยบายการคลังและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฐานะการเงินและสภาพคล่องธุรกิจ ฯลฯ

ส่วนประเด็นที่จะต้องจับตาต่อในระยะถัดไป ได้แก่ ประเด็นระยะสั้นด้านความพร้อมด้านสาธารณสุข และภาคการผลิจที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาด (Supply-side Disruption) ส่วนระยะยาวควรเร่งกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงแทรมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ซึ่งอาจจำเป็นในระยะสั้น แต่ไม่ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจ

"โดยข้อเสนอแนะทางนโยบาย ธปท.แนะนำภาครัฐต้องเตรียมเครื่องมือและมาตรการให้เพียงพอและยาวนาน ซึ่งต้องทำเต็มที่ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากมาตรการแต่ละด้านมีข้อจำกัด รวมถึงต้องคำนึงถึงการใช้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น เตรียมช่องทางการเข้าถึงความช่วยเหลือทางออนไลน์เพิ่มขึ้น"