ราคา 'หุ้นแบงก์' พุ่งสวนข่าวพักหนี้ ลุ้นกำไรไตรมาส 2/64 สดใส

ราคา 'หุ้นแบงก์' พุ่งสวนข่าวพักหนี้ ลุ้นกำไรไตรมาส 2/64 สดใส

"หุ้นแบงก์" ราคาขึ้น สวนข่าวพักหนี้2 เดือน บล.กสิกรไทย ชี้ มาตรการดังกล่าวกระทบไม่มาก -ได้เซ็นทิเม้นท์เชิงบวก ทิสโก้ ประกาศกำไรไตรมาส 2/64 สูงกว่าตลาดคาด แต่ยังถูกกดดันโควิด ควรซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว หลังสถานการณ์คลี่คลาย

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) วานนี้ (15 ก.ค.) ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น แม้จะมีปัจจัยกดดันจากธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการพักหนี้เป็นเวลา 2 เดือน โดย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เพิ่มขึ้นมากสุด 2.56% ปิดที่ 0.80 บาท รองมา ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) เพิ่มขึ้น 1.85% ปิดที่ 55 บาท

162635500936

นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารวานนี้ (ฟื้นตัวกลับขึ้นจากวันก่อนหน้า (14 ก.ค.) ที่ถูกกดดันจากกระแสข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการพักชำระหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม

ทั้งนี้ รายละเอียดของมาตรการที่ออกมาจริงมีเงื่อนไขน้อยกว่าที่นักลงทุนกังวล กล่าวคือ ธปท.ให้ช่วยเหลือลูกหนี้เฉพาะที่ได้รับผลกระทบใน 10 จังหวัดสีแดง และจะต้องเป็นลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบจนต้องปิดกิจการหรือถูกเลิกจ้าง

รวมถึง หุ้นธนาคารยังได้ปัจจัยหนุนจากที่ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) รายงานกำไรไตรมาส 2 ปี 2564 ออกมาเป็นธนาคารแรก และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์อยู่ที่ 1,666 ล้านบาท ลดลง 5.5% หากเทียบกับไตรมาสแรก แต่เพิ่มขึ้น 25.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.7% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนมีความคาดหวังเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของธนาคารที่เหลือจะออกมาดีเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ระยะข้างหน้าหุ้นกลุ่มธนาคารยังมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจ หากสถานการณ์โควิด-19 ลากยาวจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อคุณภาพหนี้และผลการดำเนินงานของธนาคารต่อไป 

"เราแนะนำว่าลงทุนหุ้นแบงก์ได้ แต่เหมาะกับการลงทุนระยะกลาง-ยาว (6 เดือนถึง 1 ปี )จากราคาหุ้นในช่วงนี้ที่ปรับลงจากข่าวร้ายทั้งสถานการณ์โควิด-19 และกฎเกณฑ์กำกับดูแลจาก ธปท. เชื่อฐานทุนรองรับ NPL ในกรณีเลวร้ายได้สูงถึง 10-15% รวมถึงราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ปรับลงเหลือ 0.5 เท่า ทำให้ความเสี่ยงขาลง (ดาวไซด์) จำกัด"

สำหรับหุ้นแนะนำ คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพราะภาพรวมของพอร์ตสินเชื่อปลอดภัยที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ จากที่มีการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่สูงให้ ราคาเหมาะสม 157 บาทต่อหุ้น ถัดมา KKP เพราะราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นธนาคารตัวอื่น และมีปัจจัยบวกจากความต้องการรถมือสองที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง KKP มีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อรถมือสองค่อนข้างสูง และมีอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ระดับ 5% จึงแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสม 72 บาทต่อหุ้น

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (​ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับขึ้นรับความคาดหวังเชิงบวกว่ากำไรกลุ่มจะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย บล.ยูโอบีฯ คาดกำไรไตรมาส 2 ปี 2564อยู่ที่ 46,953% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น 53.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยบวกจาก TISCO รายงานงบออกมาดีกว่าตลาดคาด ทั้งภาระการตั้งสำรองหนี้ และคุณภาพลูกหนี้ ส่งผลให้เกิดแรงเก็งกำไรเพราะคาดว่าธนาคารที่เหลือจะมีทิศทางกำไรคล้ายกัน

"เราเชื่อว่าหุ้นแบงก์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2563 และจะเริ่มเห็นกำไรดีขึ้นในปี 2564 ก่อนจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2565 แต่P/BVปรับตัวขึ้น มาอยู่ที่ 0.7-0.8 เท่า จากจุดต่ำสุดที่ 0.3 เท่า และราคาหุ้นปรับขึ้นจากระดับปัจจุบันประมาณ 15-20% จึงแนะนำซื้อเล่นรอบเท่านั้น โดยหุ้นที่แนะนำคือ  BBL, KBANK และ KKP"