สมาคมนักวิเคราะห์ฯ หั่นเป้าจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 2.11%

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ หั่นเป้าจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 2.11%

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ลดคาดการณ์จีดีพีปี 64 เหลือโต 2.11% มองปัจจัยบวกการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก-การฉีดวัคซีนโควิด แต่การลดมาตรการ QE-การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ-ฟันด์โฟลว์ไหลออก-การเมืองไทย จะกดดันดัชนี มองเป้าสิ้นปี 1,647 จุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในครึ่งหลังของปี 2564 ว่า สมมติฐานหลักเฉลี่ยค่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปี 2564 ที่ 2.11% ลดต่ำลงกว่าการสำรวจครั้งก่อนที่ 3.08% อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 64.96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลขเพียง 58.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนทิศทางการลงทุนในครึ่งปีหลัง จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีผู้โหวตท่วมท้นถึง 85% รองลงมาคือ แนวโน้มสถานการณ์วัคซีนในไทย มีผู้โหวต 61% ส่วนปัจจัยด้านลบมาจากท่าทีการลดมาตรการสภาพคล่อง (QE) ทั่วโลก และแนวโน้มการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ เร็วขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม ทั้ง 2 ปัจจัยมีผู้โหวตชัดเจนถึง 81% เท่ากัน นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยลบจากกระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ต่างชาติที่ไหลออก และปัจจัยการเมืองไทยที่มีผู้โหวตมากเท่ากันถึง 69%

โดยผลสรุปยังคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้ ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 เฉลี่ยที่ 80.87 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 66% จากปีก่อน และตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้สูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 74.08 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าดัชนี SET (SET Index) ในครึ่งหลังของปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,522-1,670 จุด โดยคาดว่าจะปิดสิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ 1,609 จุด และปิดสิ้นปีที่ 1,647 จุด

ทั้งนี้ แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

  • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น    13.92%
  • กองทุนตราสารหนี้              15.27%
  • หุ้นหรือกองทุนต่างประเทศ    28.58%
  • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย    26.23%
  • กองทุนอสังหาฯหรือ REIT     8.98%
  • ทองคำหรือกองทุนทองคำ      6.51%
  • อื่นๆ    0.51%

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจอาหาร ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง พาณิชย์ และการแพทย์ ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี เหล็ก และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยรายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ BDMS BEM CPALL GPSC KBANK และ TU ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม และ สายการบิน ตลอดจน หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในปีที่ผ่านมา

"ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลได้แก่ การเร่งกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ จัดมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงสินเชื่อ SMEs การลดภาษีนิติบุคคล เป็นต้น"