‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ‘อ่อนค่าสุด’ รอบ 9 เดือน

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ‘อ่อนค่าสุด’ รอบ 9 เดือน

เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ยังทรงตัวอ่อนค่าสุดในรอบ9เดือน ที่31.61บาทต่อดอลลา นักลงทุนต่างชาติกังวลแจกจ่ายวัคซีนในไทยยังไม่สามารถเร่งตัวขึ้นมากกว่านี้ได้ อาจทยอยขายหุ้นทำกำไร มากกว่าถ้อยแถลงเฟดมองเงินเฟ้อแค่ชั่วคราว คาดวันนี้เงินบาทที่ระดับ 31.55-31.70บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.61 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัวจากระดับปิดวันก่อนหน้า และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.70 บาทต่อดอลลาร์

ในส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท  เรามองว่าปัจจัยกดดันการอ่อนค่าของเงินบาท อาจมาจากความกังวลสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และปัญหาการแจกจ่ายวัคซีนในไทย ที่อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์เสี่ยงไทย มากกว่าจะมาจากเงินดอลลาร์ หลังจากที่ เงินดอลลาร์ก็เริ่มอ่อนค่าลง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากหรืออ่อนค่าต่อเนื่องทะลุระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ เพราะผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเงินบาทมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ระดับ 31.60-31.70 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่าโอกาสทะลุระดับดังกล่าวมีไม่มากนัก

นอกจากนี้ เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง เรามองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้จังหวะนี้ทยอยลดการถือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ลงบ้าง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สหรัฐฯมองว่า ไทยมีการแทรกแซงค่าเงินในทิศทางเดียว หรือ เพื่อให้ FX reserves มีการลดลงบ้าง

ขณะที่ตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้งหลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell และ เจ้าหน้าที่เฟดที่เป็น Voting member ของ FOMC อย่าง John Williams ต่างมองว่า แนวโน้มเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นแค่ชั่วคราวและมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามปัญหาด้านฝั่งการผลิตหรือฝั่ง Supply ที่จะคลี่คลายลง และย้ำว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังไม่ถึงระดับที่เฟดจะต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ทำให้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่คลายความกังวลโอกาสที่เฟดจะเร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น

แม้ว่า จะมีเจ้าหน้าที่เฟดถึงสองท่าน (James Bullard และ Robert Kaplan) ออกมาสนับสนุนการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี ตลาดก็ดูเหมือนจะไม่ได้กังวลกับถ้อยแถลงดังกล่าวมากนัก เพราะทั้งสองท่านยังไม่ใช่ Voting member ของ FOMC ในปีนี้

การเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าวของตลาด หนุนให้ สินทรัพย์ในธีม Cyclical พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ดัชนี Dowjones พุ่งขึ้นกว่า +1.76% จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ Financial, Materials และ Industrials เป็นต้นส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.40% ขณะที่ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้นเพียง +0.79%

ทางด้านตลาดหุ้นในฝั่งยุโรป ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ได้ช่วยหนุนให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นราว +0.71% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในทุกตลาดประเทศ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปโดยรวมยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Industrials ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกสินค้า อาทิ ยานยนต์ และ สินค้าแบรนด์เนม หลังจากที่เงินยูโรอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลดีต่อแนวโน้มรายได้ของกลุ่มบริษัทที่มีการส่งออก (Volkswagen +3.61%, Daimler +2.75%, BMW +2.38%, Kering +1.23%)

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดจะคลายกังวลปัญหาเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วขึ้น แต่ภาพตลาดการเงินที่เฟดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงก็ได้ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 5bps สู่ระดับ 1.49% ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของยีลด์ระยะยาวอาจไม่ได้เร่งตัวขึ้นไปมาก หากบรรดาผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้กังวลต่อการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องของเฟดมากนัก ซึ่งตลาดจะจับตาแนวโน้มข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงาน รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ ก่อนจะปรับสถานะถือครองอย่างชัดเจน ทำให้เรามองว่า ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ก็อาจแกว่งตัวsideways ในกรอบเดิมในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คือ โซน 1.45%-1.60%

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและลดความต้องการสินทรัพย์หลบความผันผวน อย่าง เงินดอลลาร์ลง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 91.89 จุด หนุนให้สกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินออสเตรเลียดอลลาร์ (AUD) แข็งค่าขึ้นราว 0.87% สู่ระดับ 0.753 ดอลลาร์ต่อAUD ซึ่งการแข็งค่าของ AUD ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์(Commodities) สะท้อนผ่านดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดย Bloomberg ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 0.69% (ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวขึ้นราว 2.6% สู่ระดับ 74.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วน ราคาทองคำปรับตัวขึ้นราว 1.1% สู่ระดับ 1,784 ดอลลาร์ต่อออนซ์)

สำหรับวันนี้ เนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจะมีไม่มากนัก ทำให้โฟกัสของผู้เล่นในตลาดการเงินจะอยู่ที่ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึง แนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต ซึ่งตลาดก็สามารถเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อได้ หากเจ้าหน้าที่เฟดที่เป็น Voting member ของ FOMC ต่างยืนกราน ไม่รีบปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น