'กรมราชทัณฑ์' เผยนักโทษติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 140 ราย ชี้การระบาดพื้นที่ กทม.ดีขึ้น

'กรมราชทัณฑ์' เผยนักโทษติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 140 ราย ชี้การระบาดพื้นที่ กทม.ดีขึ้น

"กรมราชทัณฑ์" เผยผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 140 ราย ชี้การระบาดพื้นที่ กทม.ดีขึ้น พร้อมมอบศูนย์ CARE ให้ข้อมูลแก่ญาติ พบมีผู้รับบริการแล้ว 61,890 ราย

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.64 นายอายุต สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2564 เวลา 16.00 นาฬิกา) มีผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ จำนวน 140 ราย รักษาหายวันนี้ 966 ราย ทำให้มีผู้ต้องขังติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณท์ 5,976 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

โดยสถานการณ์ในวันนี้ ยังคงมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจำสีขาว ไม่พบการระบาด จำนวน 127 แห่ง และเรือนจำสีแดงที่พบการระบาดคงที่จำนวน 13 แห่ง มีเรือนจำที่พ้นระยะสีแดง รอการปรับสถานะ 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางเซียงใหม่ และเรือนจำจังหวัดนราธิวาส

ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้เป็นการตรวจพบเชื้อจากผู้ต้องขังในแดนจากเรือนจำสีแดง 134 ราย และในห้องแยกกักโรค 6 ราย จากเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี 3 ราย และเรือนจำอำเภอธัญบุรี เรือนจำกลางสมุทรปราการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครแห่งละ 1 ราย ซึ่งจะพบว่าเรือนจำสีแดงที่พบการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มของผู้ติดเชื้อลดลง ขณะที่พบจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายสะสม 29,166 ราย หรือ 82% ของจำนวนผู้ป่วยสะสมทั้งหมด

162426597428

  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

 

ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีเรือนจำ/ทัณฑสถานหลายแห่งที่สามารถจำกัดแดนที่พบผู้ติดเชื้อออกจากแดนปลอดเชื้อได้อย่างชัดเจน จนสามารถวางแผนเพื่อลดสถานะจากเรือนจำสีแดงเป็นเรือนจำสีขาวได้แล้ว ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะสามารถลดสถานะจากเรือนจำสีแดงได้ภายในเดือนกรกฏาคม โดยจะเริ่มทยอยลดสถานะได้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในพื้นที่จังหวัดสงขลา ในวันนี้ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางสงขลา 77 ราย และทัณฑสถานหญิงสงขลา 24 ราย ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในบางแดน และได้แยกกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังรายอื่นเรียบร้อยแล้ว รวมถึงการเร่งตรวจหาเชื้อเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองจะถูกส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ ซึ่งเป็นผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่พบเชื้อ จะได้รับการดูแลรักษาภายในพื้นที่เรือนจำ/ทัณฑสถานที่จัดทำพื้นที่เป็นโรงพยาบาสสนามเฉพาะ โดยจะได้รับยาสารสกัดาทะลายโจร และยาผงฟ้าทะลายโจร รวมถึงยาต้านไวรัส และยารักษาอื่นๆ ตามอาการ ซึ่งทางกรมราชทัณ ได้เร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุน ทั้งในส่วนของยารักษาและบรรเทาอาการ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา รวมถึงการจัดทีมแพทย์ และพยาบาลจาก

ส่วนกลางและเรือนจำ/ทัณฑสถานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพื่อเข้าดูแลและช่วยเหลือในพื้นที่ให้สถานการณ์อยู่ในการควบคุมโดยเร็วที่สุด

นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ในพื้นที่จังหวัดสงขลาในช่วงนี้ ผู้ต้องขังชายจากเรือนจำกลางสงขลา และเรือนจำจังหวัดสงขลาที่เป็นผู้ต้องขังเข้าใหม่ จะถูกส่งตัวเข้าคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษสงขลาซึ่งยังปลอดเชื้ออยู่ ส่วนผู้ต้องขังหญิง จะนำส่งที่ทัณฑสถานหญิงสงขลาเช่นเคย โดยจัดพื้นที่ส่วนควบคุมใหม่ที่แยกประตูเข้า-ออกจากทัณฑสถานเดิมอย่างชัดเจน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อในการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายต่อจากนี้จนกว่าสถานการณ์จะปกติ ซึ่งจะมีขั้นตอนการกักโรคและตรวจเชื้อผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบการติดเชื้อในเรือนจำ/ทัณฑสถานหลายแห่ง อาจจะทำให้ญาติผู้ต้องขังหลายท่านเกิดความกังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะในผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) หรือศูนย์ CAREในทุกเรือนจำ/ทัณฑสถาน ทำหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ญาติที่ทำการสอบถามเข้ามาผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ ไลน์ หรือ เฟซบุ๊กของเรือนจำ/ทัณฑสถาน ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการตอบข้อสงสัยและให้ข้อมูลแก่ญาติผู้ต้องขังไปแล้ว 61,890 ราย เป็นการให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ 17,610 ราย ผ่านช่องทางไลน์ 21,569 ราย และช่องทางเฟซบุ๊ก 22,711 ราย โดยเป็นเรือนจำที่พบการระบาด 23,050 รายและเรือนจำที่ไม่พบการระบาด 38,840 ราย