KBANK คาด กนง.คงดอกเบี้ย 0.50% พุธนี้

KBANK คาด กนง.คงดอกเบี้ย 0.50% พุธนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่อง ประชุม กนง. 23 มิ.ย. คาดยังคงดอกเบี้ยที่ 0.5% และอาจออกมาตรการเฉพาะจุดเพื่อลดภาระหนี้ครัวเรือน

           ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ กนง. จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังคงมีจำกัด

        เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงอย่างมากจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

       ประกอบกับอัตราการฉีดวัคซีนที่ยังคงไม่แน่นอนแม้ว่าการปูพรมฉีดวัคซีนจะทำให้อัตราที่เร่งขึ้นถึง 2-3 เท่าตัวจากเดือนก่อนๆ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนอันเป็นผลกระทบจากสถานการณ์โควิด

      มาตรการภาครัฐจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ ขณะที่มาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายยังคงมีความจำเป็นในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงที่ยังอยู่ในระดับสูง

      สำหรับแรงกดดันจากเงินเฟ้อคงจะยังมีจำกัด แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อไทยเร่งตัวขึ้นในเดือนเม.ย.และพ.ค.ถึง 3.4% และ 2.4% YoY ตามลำดับ โดยถูกขับเคลื่อนจากราคาพลังงาน และราคาอาหารสดบางชนิด ประกอบกับฐานที่ต่ำเป็นหลัก

     ทั้งนี้ เมื่อมองไปข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นบวกแต่คาดว่าจะทยอยปรับลดลงในครึ่งหลังของปีนี้สอดคล้องกับทิศทางอัตราเงินเฟ้อโลก

       ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งนี้จะมีแถลงประมาณการเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่ากนง. น่าจะยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่ราว 1.5-2.0% สอดคล้องกับคาดการณ์ในรายงาน กนง. เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา

       ซึ่งมองว่าหากในปีนี้สามารถฉีดวัคซีนได้ 64.6 ล้านโดสตามแผนการเดิม เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 1.5% แต่หากสามารถเร่งฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดส เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.0%

     ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะยังคงมุ่งเน้นการใช้มาตรการที่ตรงกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับลักษณะปัญหาเพื่อลดภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

     ซึ่งยังอยู่ในวิสัยทัศน์ที่สามารถทำได้ ขณะที่การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอาจยังไม่มีความจำเป็น ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดภาระทางการเงินของครัวเรือน

     แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าธปท. น่าจะเลือกที่จะใช้มาตรการเฉพาะจุดมากกว่าการใช้มาตรการทั่วไปอย่างการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

     โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอาจยังไม่มีความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันและธปท. น่าจะต้องการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามเศรษฐกิจแย่ลง ท่ามกลางความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด

      นอกจากนี้ หากลดดอกเบี้ยในภาวะที่เงินเฟ้อขาขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเร็วกว่าที่คาด จะทำให้เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่มีแรงกดดันให้ต้องเพิ่มดอกเบี้ยจะมีต้นทุนที่สูง

      โดยนโยบายการเงินของเฟดที่เปลี่ยนไปในทิศทางเข้มงวดมากขึ้นจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อธปท. ในการคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระยะข้างหน้า