'กระบี่' ชูมือพร้อมรอรัฐไฟเขียว! ดัน 3 เกาะ ‘พาราไดซ์ ไอแลนด์ส’ รับทัวริสต์ 1 ก.ค.

'กระบี่' ชูมือพร้อมรอรัฐไฟเขียว!  ดัน 3 เกาะ ‘พาราไดซ์ ไอแลนด์ส’ รับทัวริสต์ 1 ก.ค.

แม้ความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังต้องคุมเข้ม แต่เศรษฐกิจก็ต้องขับเคลื่อน! ทำให้ความเคลื่อนไหวในช่วงนี้ภาคเอกชนท่องเที่ยวจากพื้นที่นำร่องอื่นๆ นอกเหนือจากภูเก็ต ต่างแสดง “ความพร้อม” ในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

หนึ่งในนั้นคือจังหวัดกระบี่!

ยิ่งเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศให้ได้ภายใน 120 วันนับจากนี้! หรือภายในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หากพร้อมได้เร็วกว่าก็ควรทยอยเปิดให้ได้เร็วกว่านั้น ยิ่งทำให้จังหวัดกระบี่ชูมือขึ้นทันที แสดงตัวว่าพร้อมเปิดพื้นที่บางส่วนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว รอเพียงรัฐบาลลั่นระฆังให้สัญญาณเริ่มได้เท่านั้น!

ศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ภาครัฐและเอกชนท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ได้ยืนยันความพร้อมกับทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ภายใต้โครงการ “พาราไดซ์ ไอแลนด์ส แซนด์บ็อกซ์” (Paradise Islands Sandbox) ชูพื้นที่ 3 เกาะแรกรองรับการท่องเที่ยวในรูปแบบตามเส้นทางที่กำหนด (Sealed Route) ได้แก่ เกาะพีพี ซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติของกระบี่มาตลอด รวมถึงหาดไร่เล และเกาะไหง สามารถเดินทางเข้าออกด้วยทางเรืออย่างเดียว โดยได้เสนอแผนว่าสามารถรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสู่ 3 พื้นที่ดังกล่าว เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป

สิ่งสำคัญคือต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยจะมีการกระจายฉีดวัคซีนแก่คนในพื้นที่ทั้ง 3 เกาะครบ 100% ภายในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ เมื่อเจาะเป็นรายเกาะ จะมีการฉีดวัคซีนแก่คนบนเกาะพีพี 3,729 คนรวมประชากรแฝงและแรงงานต่างด้าว ส่วนไร่เล จะมีการฉีดแก่คนบนเกาะ 1,942 คน ส่วนเกาะไหง มีการฉีดแก่คนบนเกาะครบ 300 คนแล้ว

“สมาคมฯยืนยันว่าทั้งเกาะพีพี ไร่เล และเกาะไหง ปลอดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็น กรีน แอนด์ คลีน ไอแลนด์ส (Green and Clean Islands) มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในวันที่ 29 มิ.ย.นี้จะมีการซักซ้อมแผนใหญ่และแผนย่อยตามคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure: SOP) และจากการสำรวจล่าสุดพบว่าขณะนี้มีโรงแรมบนเกาะพีพีที่เปิดให้บริการช่วงนี้คิดเป็นจำนวน 1,500 ห้อง ไร่เล 800-900 ห้อง และเกาะไหง 80 ห้อง

หากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาถึงภูเก็ต และเมื่ออยู่ครบกำหนดตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขและต้องการมาเที่ยว 3 เกาะของ จ.กระบี่ จะต้องเดินทางจากท่าเรือรัษฎา จ.ภูเก็ต ตรงมายังท่าเรือเกาะพีพี ท่าเรือไร่เลย์ฝั่งตะวันออก หรือท่าเรือเกาะไหง จากนั้นตรงไปที่โรงแรม

โดยเส้นทางท่องเที่ยวที่เปิดรองรับตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.นี้ มีอ่าวโละมุดี, แหลมตง, อ่าวโละลานา, อ่าวโละบาเกา, อ่าวผักหนาม, อ่าวนุ้ย, อ่าวลิงใหญ่, อ่าวโต๊ะกอ และหินแพ (Shark Point) ส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-30 ก.ย.นี้ จะมีเกาะพีพีเล, อ่าวปิเละ, อ่าวโละซามะ (ห้ามขึ้นหาด แต่อนุญาตให้ดำน้ำดูปะการังได้), อ่าวมาหยา (ห้ามขึ้นหาด) และเกาะไผ่

ส่วนการเปิดพื้นที่อื่นๆ ใน จ.กระบี่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สมาคมฯมองว่า “เกาะลันตา” เป็นอีกหนึ่งในพื้นที่ที่มีโอกาสสูงจากการเปิดเกาะ ส่วน “อ่าวนาง” เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิด ถ้าจะเปิดจริงๆ ต้องมีการหารือระดับจังหวัดก่อน ประกอบกับต้องมีการกระจายวัคซีนแก่คนทั้งจังหวัดกระบี่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 70% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยทั้งจังหวัดกระบี่ต้องการวัคซีนสำหรับฉีดแก่ประชากรกว่า 4 แสนคน หรือคิดเป็น 8-9 แสนโดส แต่ตอนนี้เพิ่งมีการฉีดแค่หลักหมื่นโดส ยังไม่ครอบคลุมตามเป้าหมาย

ขณะที่สถิติเมื่อปี 2562 ก่อนเผชิญวิกฤติโควิด-19 พบว่ากระบี่มีรายได้การท่องเที่ยว 1.12 แสนล้านบาท สร้างรายได้มากเป็นอันดับ 4 ของภาคท่องเที่ยวไทย รองจากกรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี จากฐานนักท่องเที่ยวรวมทั้งชาวไทยและต่างชาติราว 10 ล้านคน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 75% หรือกว่า 7 ล้านคน และชาวไทย 25% หรือ 2-3 ล้านคน ขณะที่โรงแรมในกระบี่ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรม ปัจจุบันมีประมาณ 800 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักราว 2.5 หมื่นห้อง

ศศิธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ทางสมาคมฯคาดหวังว่าศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะมีการพิจารณาทบทวนปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เรื่องการขยายระยะเวลาให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ต้องอยู่ภายในพื้นที่ภูเก็ตแบบไม่กักตัวอย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทางไปเที่ยวพื้นที่อื่นในไทย ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) มีมติเห็นชอบก่อนหน้านี้ โดยมองว่าอยากให้เปลี่ยนเงื่อนไขอยู่ในภูเก็ตอย่างน้อย 7 วันเหมือนเดิม ค่อยสามารถเดินทางไปเที่ยวพื้นที่อื่นในไทยได้

“การปรับลดจำนวนวันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ภูเก็ตอย่างน้อย 14 วัน เหลือ 7 วัน เป็นประเด็นสำคัญที่อยากให้ ศบค.พิจารณา เพราะน่าจะดีต่อดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติ และยังช่วยกระจายทั้งนักท่องเที่ยวและรายได้ไปยังพื้นที่อื่นๆ ในไทยได้เร็วขึ้นด้วย”