'นายกฯ'สั่งการ 4สูตรจัดสรรวัคซีน ทุกหน่วยเข้าใจตรงกัน ต้องทำตามนี้

'นายกฯ'สั่งการ 4สูตรจัดสรรวัคซีน ทุกหน่วยเข้าใจตรงกัน ต้องทำตามนี้

"นายกฯ" เผย ถ้าวัคซีนมีมาก จะฉีดได้มากกว่านี้ รับ ไม่สบายใจที่ต้องเลื่อน ชี้ สำคัญอยู่ที่วัคซีนทยอยเข้ามา ต้องสมดุลกับการฉีดแต่ละวัน ถ้าฉีดเต็มอำนาจ หมดก็ต้องหยุด ระบุ สั่งการนโยบาย 4สูตร จัดสรรวัคซีน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตนขอชี้แจงและรายงานเรื่องสำคัญคือวาระแห่งชาติในการฉีดวัคซีน ที่เริ่มเมื่อ7มิ..ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ เรากระจายวัคซีนไปทั่วประเทศแล้วมากกว่า 7 ล้านโดส ฉีดไปมากกว่า 6.5 ล้านโดส ทั้งนี้ตั้งแต่7 มิ..  เราฉีดไปได้ 2.5 ล้านโดสภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ นั่นคือขีดความสามารถในการฉีดวัคซีนของเรา ถ้าวัคซีนเข้ามามากกว่านี้ เราก็น่าจะฉีดได้มากกว่านี้ ตามระยะเวลาที่กำหนด ถือเป็นความร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่ของเจ้าหน้าที่ บุคลากรการแพทย์ ในทุกจุดบริการ ต้องขอขอบคุณทุกท่านมา ที่นี้ด้วย ในการอำนวยความสะดวกซึ่งได้รับคำชมเชยจากประชาชน

นายกฯ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การระดมฉีดวัคซีนดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง คือการจัดสรรวัคซีนไปยังจุดบริการทั่วประเทศ อย่างทั่วถึงและพอเพียง เป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งที่ท่านอาจจะได้รับฟังจากข่าวว่ามีการเลื่อนการฉีดวัคซีน ตามโรงพยาบาลต่างๆ จนทำให้เกิดความไม่สบายใจ และเข้าใจว่าภาครัฐไม่ได้จัดสรรวัคซีนอย่างเพียงพอ หรือภาครัฐไม่ได้ประสานงานกันอย่างดีพอ ข่าวต่างๆ เหล่านี้ต้นรับทราบมาโดยตลอด แล้วพยายามแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง

"ผมขอเรียนอย่างจริงใจว่าปัญหาเหล่านี้ ผมเองไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราพยายามจะหาทางแก้ไขในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทุกวันมีการสั่งการไปยังผู้รับผิดชอบ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดและสบายใจขึ้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ปริมาณวัคซีนที่ทยอยเข้ามา ต้องมีความสมดุลกับขีดความสามารถในการฉีดแต่ละวัน ระยะเวลาที่ให้ไปจะต้องฉีดภายในกี่วัน ถ้าฉีดเต็มอำนาจไปเลยวัคซีนหมดก็ต้องหยุด นั่นคือข้อเท็จจริง แต่ถ้ามีมามากผมก็ท็อปอัพไปให้ ในช่วงเวลาที่ได้ไปแล้ว ก็จะท็อปอัพอันใหม่เข้าไปให้ด้วย โดยจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้นในระยะต่อไป" นายกฯ กล่าว

พล..ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนภาพรวมในการฉีดวัคซีน คงไม่ใช่ผมไปยึดอำนาจไว้อยู่คนเดียวศบค. เป็นองค์กรสูงสุด มีหลายหน่วยงานร่วมอยู่ในนั้น เพื่อจัดการโควิดและฉีดวัคซีนศบค.เป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย กำหนดหลักการในการจัดสรรวัคซีนให้แต่ละจังหวัด โดยมีหลักการสำคัญคือ 1.ทุกจังหวัดต้องได้รับวัคซีนตามสัดส่วนจำนวนประชากร และเพิ่มเติมให้กับจังหวัดที่มีสถานการณ์ระบาด รวมทั้งเพิ่มเติมให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การศึกษา และอื่นๆ

2. หน่วยงานหลักที่รับมอบนโยบายจากศบค. คือกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดว่าวัคซีนที่ได้รับในแต่ละรอบ จะจัดส่งแต่ละจังหวัดจำนวนเท่าไหร่ ตามหลักการในการจัดสรร โดยจะเร่งจัดสรรในรอบนั้นไปทั่วประเทศโดยทันที ไม่รอช้า ซึ่งมีการตรวจสอบบ้างต้องใช้เวลาตรวจสอบวัคซีนที่นำเข้ามาเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

3.ความรับผิดชอบของแต่ละจังหวัด แต่ละพื้นที่ จะเป็นผู้กำหนดว่าแต่ละโรงพยาบาลและทุกจุดฉีดในจังหวัด จะได้รับวัคซีนจำนวนเท่าใด และจัดส่งให้อย่างรวดเร็วที่สุด

"การจัดสรรนี้จะต้องคำนึงถึงระยะเวลา ที่มีจนกว่าจะได้รับจัดสรรวัคซีนในล็อตต่อไป เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องราบรื่นที่สุด เนื่องจากการได้รับวัคซีนของเรานั้นทยอยมาเป็นรอบ ไม่ใช่ได้มาครั้งเดียว 6 ล้านโดส หรือ 10 ล้านโดส ตั้งแต่ต้นเดือน แล้วส่งออกทันทีที่ได้รับวัคซีน ไม่รอเก็บไว้จนกว่าจะครบจึงจะส่งออก" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ตนขอชี้แจง ถึงสูตรในการจัดสรรวัคซีน ที่ตนกำหนดนโยบายและสั่งการมีดังนี้ 1. เมื่อมีวัคซีนมา กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบแล้วต้องส่งให้กับทุกจังหวัดทันที จะไม่มีจังหวัดใดที่ไม่ได้เพิ่มเติมในแต่ละรอบ ซึ่งในอนาคตอาจจะยกเว้นจังหวัดที่ให้ครบตามเป้าหมายแล้ว หรือบางจังหวัดที่ศบค. พิจารณาว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่

2.จำนวนวัคซีนที่ส่งให้แต่ละจังหวัด จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่ต้องนำมาคำนวณด้วย ได้แก่จำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้ลงทะเบียนในระบบ อาชีพเสี่ยง พื้นที่เศรษฐกิจ

3.หากวัคซีนที่ได้คำนวณแล้วไม่เพียงพอต่อการฉีดในระยะเวลารอบนั้น ให้แต่ละจังหวัดและจุดฉีดพิจารณาจัดสรรให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเสี่ยงที่ลงทะเบียนไว้ก่อนแล้ว

4.หากมีความจำเป็นต้องชะลอการฉีดวัคซีนตามกำหนดเดิม ระหว่างรอการนำส่งวัคซีน ต้องยึดแบบเดิมไว้ก่อนไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ และจัดการฉีดวัคซีนตามลำดับเดิมทันที หลังจากได้รับการจัดสรรวัคซีน คงเข้าใจตรงกันแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ต้องดำเนินการตามนี้ เพราะเป็นมติของที่ประชุมร่วมกันในการบริหารจัดการวัคซีน