'ชิเซโด้'หวังตลาดเอเชียแข่งแบรนด์จีน-เกาหลีใต้

'ชิเซโด้'หวังตลาดเอเชียแข่งแบรนด์จีน-เกาหลีใต้

'ชิเซโด้'หวังตลาดเอเชียแข่งแบรนด์จีน-เกาหลีใต้ ขณะที่ซีอีโอบริษัทเชื่อว่า แนวโน้มของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับตลาดบนของชิเซโด้ยังมีโอกาสขยายตัวแม้ว่าการเผชิญหน้ากับความท้าทายในครั้งนี้จะรุนแรงกว่าทุกครั้ง

ทุกวันนี้ ย่านกินซ่า ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นกำลังบอบช้ำอย่างหนัก จากที่เคยคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่นิยมมาช็อปปิ้งในย่านนี้ มาถึงตอนนี้ ไม่มีบรรยากาศแบบนั้นให้เห็นอีกแล้ว แม้แต่บริษัทขายเครื่องสำอางชื่อดังและเก่าแก่อย่างชิเซโด้ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านนี้ ยังต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ตอนนี้ การติดต่อสื่อสารและการทำตลาดสินค้าของชิเซโด้ ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัลเป็นส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการรักษาระยะห่างที่ทางการประกาศใช้ จึงทำให้บรรดานักช็อปที่มาที่ร้าน“ชิเซโด้ โกลบอล แฟล็กชิป สโตร์”ถูกขอร้องให้ยืนหน้าจอดิจิทัลเพื่อถ่ายรูป จากนั้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ)ของร้านจะอ่านและวิเคราะห์ใบหน้าและผิวพรรณของลูกค้า ก่อนจะแนะนำผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน

การบริการของร้านชิเซโด้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเครื่องสำอางและดูแลผิวพรรณรายใหญ่สุดของญี่ปุ่นแห่งนี้ ปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตอบสนองความวิตกกังวลของผู้บริโภคและแข่งขันกับบรรดาแบรนด์เครื่องสำอางใหม่ๆจากเกาหลีใต้และจากจีนที่กำลังทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางญี่ปุ่นต้องดิ้นรนมากขึ้นเพื่อสร้างยอดขาย

ก่อนช่วงโควิด-19ระบาด ชิเซโด้ พึ่งพารายได้จากบรรดานักท่องเที่ยวชาวจีนที่พากันเหมารถบัสมาช็อปปิ้ง ร้านค้าปลอดภาษีและช่องทางขายสินค้าที่คล้ายๆกัน บางทีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวแต่ธุรกิจความงามน่าจะใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายทำงานที่บ้านของบริษัทในเอเชียจำนวนมาก ประกอบกับการต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกไปอยู่ในที่สาธารณะทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอาง และผู้บริโภคอาจเลือกใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปกับเครื่องสำอางราคาแพง

“มีโอกาสน้อยมากที่คนสวมหน้ากากอนามัยจะทาลิปสติกหรือแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง ประกอบกับผู้คนส่วนใหญ่ตอนนี้มีโอกาสที่จะออกจากบ้านน้อยลง อีกทั้งผู้บริโภคในทุกวันนี้ซื้อสินค้าด้วยความระมัดระวังมากขึ้น คำนึงถึงความจำเป็นในการซื้อสินค้ามากขึ้น”มาซาฮิโกะ อูโอทานิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)ชิเซโด้ กล่าว

แต่ถึงแม้ว่าการระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกแต่อูโอทานิก็เชื่อว่า แนวโน้มของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับตลาดบนของชิเซโด้ยังมีโอกาสขยายตัวแม้ว่าการเผชิญหน้ากับความท้าทายในครั้งนี้จะรุนแรงกว่าทุกครั้งเพราะนอกจากจะมีตัวแปรเรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นของแบรนด์เครื่องสำอางน้องใหม่จากจีนและเกาหลีใต้

อูโอทานิ ซีอีโอ ที่ใช้เวลา17ปีเต็มทำงานด้านการตลาดกับบริษัทโคคา-โคลา บอกว่าบริษัทชิเซโอ้วางกลยุทธ์และหาทางรับมือกับความท้าทายต่างๆไว้แล้ว

“ผิวพรรณเป็นเหมือนเครื่องวัดสุขภาพของผู้คน เราจะเน้นพัฒนาและทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากขึ้นและดันให้เป็นกลุ่มธุรกิจพรีเมียม”อูโอทานิ กล่าว

ขณะที่ข้อมูลของยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คาดการณ์ว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางสำหรับตลาดบนทั่วโลกจะมีมูลค่า 163,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 19.3% จากปี 2562 ส่วนภูมิภาคเอเชีย คาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 49.8%

ด้านฮิโรชิ ซาจิ นักวิเคราะห์จากมิซูโฮะ ซิเคียวริตี้ส์ ให้ความเห็นว่า “การเน้นทำกำไรเป็นตัวแปรบวกในการดำเนินธุรกิจระยะสั้นแต่การพึ่งพารายได้จากผู้บริโภคจีนอย่างเดียวก็เป็นสิ่งที่เสี่ยงเกินไป ชิเซโด้ จำเป็นต้องมองตลาดอื่นๆเป็นแหล่งสร้างรายได้และผลกำไรไว้ด้วย”

“ผมคิดว่าเมื่อโรคโควิด-19 สงบลงหลังจากปีหน้าเศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวและทำให้บริษัทต่างๆมีความหวังมากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องวางพื้นฐานเพื่อการพัฒนาในระยะยาว”ซีอีโอชิเซโด้ กล่าว

อูโอทานิ บอกด้วยว่า เมื่อปี2558 บริษัทได้ตั้งสำนักงานในสิงคโปร์เพื่อดูแลและสนับสนุนการทำตลาดของบริษัททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และไต้หวันก็กลายเป็นฮับนวัตกรรมดิจิทัลที่สำคัญสำหรับชิเซโด้ นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจลงไปทางใต้ต่อไป “ขนาดของตลาดยังเล็กอยู่แต่ความต้องการจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์”อูโอทานิ กล่าว

เมื่อไม่นานมานี้ ชิเซโด้ ได้เปิดตัวหน่วยงานร่วมทุนและเริ่มดำเนินธุรกิจในฟิลิปปินส์แล้ว